เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ลงนามบันทึกช่วยจำ ประกาศจะเก็บภาษีศุลากรต่อสินค้าจีน และจำกัดการลงทุนและการจัดซื้อของวิสาหกิจจีนในสหรัฐฯ นายบัมบัง ซูร์โยโน(Bambang Suryono) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยจีนที่มีชื่อเสียงของอินโดนีเซีย บรรณาธิการใหญ่ของหนังสือพิมพ์โครัน บารู อินโดนีเซีย( Koran Baru Indonesia) และหนังสือพิมพ์บาลี เฟิงไฉ่( Bali Fengcai) ของอินโดนีเซียได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า การกระทำครั้งนี้ถือเป็นการกระทำที่มีแผนของสหรัฐฯ ถ้าสหรัฐฯ ก่อ "สงครามการค้า" ขึ้น ก็ย่อมเป็นผู้พ่ายแพ้
นาย ซูร์โยโนกล่าวว่า เป้าหมายของสหรัฐฯ คือการยับยั้งการส่งออกและลงทุนของจีน โดยเจาะจงในเรื่องของ "การผลิตจีนปี 2025" มุ่งที่จะกีดกันการพัฒนาด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ระดับสูงของจีน การกระทำของสหรัฐฯ ถือเป็นการไม่เชื่อมั่นต่อการพัฒนา และหวาดกลัวต่อการท้าท้ายจากประเทศอื่นๆ
นายบับบาง ซูร์โยโนกล่าวว่า ช่วงปี 1980 กิจการการผลิตของเยอรมันกับญี่ปุ่นได้เผชิญหน้ากับปัญหาที่ถือเป็นข้อขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ ท่ามกลางกระบวนการเกิดและเติบโต การพยายามหยุดยั้งของสหรัฐฯ กลับทำให้อุตสาหกรรมของเยอรมันกับญี่ปุ่นพัฒนาดียิ่งขึ้น ถ้าสหรัฐฯ ก่อ "สงครามการค้า" กับจีน สหรัฐฯ ย่อมต้องเป็นผู้แพ้อย่างแน่นอน และจะส่งผลผลักดันให้จีนพัฒนาเป็นประเทศที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์
นายบับบาง ซูร์โยโนได้กล่าวถึงผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของวิสาหกิจจีน ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนอินโดนีเซียโดยบอกว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคมปี 2010 เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในเวลานั้นสังคมอินโดนีเซียมีเสียงต่อต้านไม่น้อย เป็นห่วงว่าการส่งออกของจีนจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของท้องถิ่น แต่ความเป็นจริงได้แสดงออกมา ยอดมูลค่านำเข้าจากอินโดนีเซียของจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การขาดดุลทางการค้าของอินโดนีเซียมีต่อจีนได้ลดน้อยลงทุกปี ในขณะเดียวกันการลงทุนของจีนมีต่ออินโดนีเซียได้เพิ่มขึ้นทุกปี
นายบับบาง ซูร์โยโนกล่าวว่า รัฐบาลจีนสัญญาจะเปิดประตูสู่ภายนอกให้กว้างยิ่งขึ้น โดยจะผลักดันให้สินค้าที่ได้เปรียบของอินโดนีเซียส่งออกไปที่จีน ทดแทนผลิตผลทางเกษตรกรรมของสหรัฐฯ และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างอินโดนีเซียกับจีนจะได้รับการส่งเสริมมากยิ่งขึ้น
(Bo/zheng)
