นางหลิว ฟายิง ช่วยให้เด็กชนบทได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น
P1
นางหลิว ฟายิง ปีนี้อายุ 48 ปี เธอเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในชนบท ท่ามกลางป่าลึกในมณฑลหูเป่ย ของชนเผ่าถู่เจีย หนึ่งใน 56 ชนกลุ่มน้อยในประเทศจีน ครูคนนี้ มีรูปร่างอวบ หน้ากลม ทรงผมบ๊อบ ยิ้มแย้มเป็นประจำ ใครได้พบเป็นครั้งแรกจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใกล้ชิด
ที่จริงแล้ว นางหลิว ฟายิง ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในตำแหน่งครูใหญ่ แต่เป็น "พี่สาวคุณยิง" ในโลกอินเตอร์เน็ต เธอได้ทุ่มเททำงานเกี่ยวกับเว็บไซต์การระดมทุนเพื่อการศึกษาของเด็กในชนบทมาเป็นเวลา 13 ปี ทั้งจากภายใน และ นอกประเทศเป็นจำนวนกว่า 180,000 ล้านหยวน ซึ่งช่วยให้เด็กยากจนกว่า 2,900 คน มีโอกาสเข้าไปศึกษาในโรงเรียนจนถึงจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้
นางหลิว ฟายิง เริ่มทำงานที่โรงเรียนในชนบท ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 เมื่อเห็นว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน เธอจึงรู้สึกเดือดร้อนแทน และพยายามที่จะหาทางช่วย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง เธอได้รู้จักกับ "อินเตอร์เน็ต" ด้วยความบังเอิญ และได้รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตนี้เอง สามารถใช้ติดต่อกับคนอื่น ๆ จำนวนมหาศาล และสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างกว้างขวาง ดังนั้น เธอจึงมีความคิดที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง เพื่อบอกเล่าปัญหาความลำบากของเด็ก ๆ ยากจนไปสู่โลกภายนอก และรณรงค์ให้ผู้คนร่วมมือกันช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ให้สามารถมีโอกาสเข้าเรียนได้
ก่อนหน้านี้ นางหลิว ฟายิงเองไม่มีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต เธอจึงต้องพยายามเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งแรก ฝึกฝนการติดต่อทางอินเตอร์เน็ตทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งต่อมา มีผู้อาสาจัดทำเว็บไซต์ให้ เธอจึงเริ่มการระดมทุนการศึกษา ปีแรกที่เปิดเว็บไซต์ ได้รับเงินอุดหนุนแค่ 800 หยวนเท่านั้น และยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อเธอ เห็นว่าเธอทำเว็บไซต์ระดมทุนศึกษาเพื่อให้ตัวเธอเองมีชื่อเสียง หรือ แค่หลอกเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง นางหลิว ฟายิง จึงต้องอธิบายให้ผู้คนแปลกหน้าในอินเตอร์เน็ตครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางครั้งเธอก็รู้สึกน้อยใจ และรู้สึกว่างานนี้เหนื่อยจริง ๆ แต่เมื่อนึกถึงเด็ก ๆ ที่อยู่ในชนบทท่ามกลางป่าลึก เธอก็กลับมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง การเวลาพิสูจน์คน เมื่อความพยายามของนางหลิว ฟายิง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากรับรู้ถึงความจริงใจ และรับทราบปัญหาความยากจนของเด็กในชนบท เงินอุดหนุนการศึกษาก็ได้หลั่งไหลเพิ่งเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนทำให้เด็กยากจนจำนวนกว่า 2,900 คนได้รับความช่วยเหลือ และมีจำนวนหนึ่งได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของจีนได้ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยชิงหวา และ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งนับว่าเด็กนักเรียนเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาเพื่อสร้างประโยชน์ตอบแทนสังคมได้
ปีนี้ นางหลิว ฟายิง ได้รับตำแหน่งใหม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนจีน และได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสองสภาเป็นครั้งแรก โดยเธอได้ยื่นข้อเสนอ 4 ประการ ซึ่งสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ การพัฒนาชนบทและการศึกษา โดยเธอเห็นว่า หากต้องการพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งในปัจจุบัน การศึกษาในชนบทยังมีข้อจำกัดไม่น้อย เช่น เรื่องคุณภาพการศึกษา และการจัดสรรทรัพยากรการศึกษา ที่ยังมีช่องว่างค่อนข้างมากกับการศึกษาในเมือง หลายปีมานี้ นางหลิว ฟายิงได้สำรวจสภาพการศึกษาในชนบท และเขียนบันทึกต่าง ๆ ที่มีตัวอักษรรวมแล้วกว่า 2 แสนคำ
การประชุมสองสภาปีนี้ นางหลิว ฟายิง ได้ฟังรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล ที่นายหลี่ เค่อเฉียง กล่าวต่อที่ประชุมว่า จีนต้องพัฒนาการศึกษาที่มีความเท่าเทียมกัน การลงทุนทั้งกำลัง และเงินทุน ต้องให้ความสำคัญต่อเขตยากจนมากกว่าเมือง ลดอัตราการไม่ได้เข้าเรียนของนักเรียนชนบท ซึ่งทำให้นางหลิว ฟายิงประทับใจต่อคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีจีนเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวว่า เธอหวังให้รัฐบาลเพิ่มกำลังการพัฒนาการศึกษาต่อไป ปรับปรุงสภาพการศึกษาในชนบท ทั้งในด้านเงินเดือนครู โครงสร้างพื้นฐานของการศึกษา และการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อดึงดูดบุคลากรมาทำงานในชนบทให้มากยิ่งขึ้น
นายเหลียง อี้เจี้ยน แพทย์ของประชาชน ผู้ทุ่มเทดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย
P2
นายเหลียง อี้เจี้ยน ปีนี้อายุ 54 ปี เป็นผู้อำนวยการภาควิชาออร์โธปิดิกส์ของโรงพยาบาลที่ 3 เมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน เขาดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาตำแหน่งกระดูกสันหลังผิดปกติที่มีระดับรุนแรง ตลอดการทำงานกว่า 30 ปีมานี้ นายเหลียง อี้เจี้ยนได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังกว่าพันคน ช่วยให้คนพิการสามารถเดินทางได้อีกนับไม่ถ้วน ในจำนวนเหล่านี้ มีผู้ป่วยที่ยากลำบากไม่มีเงินพอที่จะรับการรักษาพยาบาล นายเหลียง อี้เจี้ยน จึงพยายามหาทุกวิถีทาง ทั้งการช่วยลดค่ารักษาพยาบาล และขอรับเงินบริจาคจากสังคม
ปีนี้ เมื่อนายเหลียง อี้เจี้ยนทราบว่า ตัวเองได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนของมณฑลซื่อชวน เขามีความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งภาคภูมิใจ ตื่นเต้น กังวล และเครียด เพราะเขาไม่ทราบว่า ตัวเองจะสามารถทำงานเป็นผู้แทนประชาชนได้อย่างถ่องแท้ หรือจะทำงานเพื่อประชาชนได้อย่างดีเต็มที่หรือไม่ ความกังกลดังกล่าววนี้ ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขา ขยันที่จะทำงานและคิดเพื่อประชาชนอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
ในช่วงของการประชุมสองสภา ทุกวันหลังจากเลิกการประชุมแล้ว การทำงานของนายเหลียง อี้เจี้ยนยังคงไม่จบ เพราะเขาต้องโทรศัพท์กลับไปหาบรรดาผู้ป่วยที่ยังคงทรมานจากปัญหากระดูกสันหลังอย่างหนักหน่วง โดยนายเหลียง อี้เจี้ยนได้ประกาศหมายเลขโทรศัพท์ของเขาในอินเตอร์เน็ต ทั้ง ๆ ที่นายแพทย์เชี่ยวชาญในระดับสูงอย่างเขาแล้ว ส่วนใหญ่มักจะไม่เปิดเผยช่องทางการติดต่อของตัวเอง การประกาศหมายเลขโทรทรัพท์ของหนายเหลียง อี้เจี้ยน ทำให้เหล่าบรรดาผู้ป่วยได้รับความสะดวกจากการที่สามารถติดต่อเขาได้โดยตรง ประหยัดเวลา และเงิน ซึ่งบางครั้งสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันเวลาด้วยซ้ำ แม้ว่าจากเมืองเฉิงตูมาสู่กรุงปักกิ่งมีระยะทางห่างกันกว่า 1,800 กิโลเมตร แต่ทุกวันยังคงมีผู้ป่วยจากทั่วประเทศมาขอความช่วยเหลือจากคุณหมอคนนี้ รวมทั้งผู้ป่วยจากต่างประเทศด้วย
การที่นายเหลียง อี้เจี้ยนได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของตัวเองอยู่กับโรงพยาบาลและผู้ป่วย ทำให้เขารับรู้ปัญหาเฉพาะทางของการรักษาพยาบาลออย่างลึกซึ้งและรอบคอบ ปีนี้ เขาได้ยื่นข้อเสนอสองข้อต่อที่ประชุมสองสภา ประการแรก คือ ต้องให้ความสำคัญกับการประหยัดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประการที่สอง คือ ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัดให้เป็นระบบ ได้มาตรฐาน และ มีคุณภาพ เพื่อให้บุคลากรในสาขานี้มีความสามารถสูงพอสมควร ประชาชนมีความมั่นใจในโรงพยาบาลระดับชนบท และระดับอำเภอ แม้จะเป็นโรงพยาบาลแห่งเล็ก ๆ แต่ก็ยังคงมีคุณหมอที่มีความสามารถสูง ช่วยประชาชนได้ ชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลไม่เพียงพอ โดยเฉพราะโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ได้ในระดับหนึ่ง นายเหลียง อี้เจี้ยน กล่าวว่า เขาทำงานโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนทั้งหลายเป็นศูนย์กลาง นอกจากจะต้องรักษาผู้ป่วยให้หายป่วยแล้ว เขายังต้องเป็นผู้แทนของประชาชน รายงานปัญหาด้านการรักษาของโรงพยาบาลไปสู่หน่วยงานเบื้องบน เพื่อรักษาสุขภาพอนามัยของประชาชนให้ดีขึ้น จึงถือว่าการเป็นแพทย์นอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพแล้ว ยังต้องมีคุณธรรมในการทำงานอีกด้วย
นางสาวหวัง เหมิงเหมิง ส่งเสริมให้ชาวบ้านพัฒนาตัวเองเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
P3
"ทำงานในเมืองมักจะประสบความสำเร็จ แต่ทำงานในชนบทก็สามารถสร้างผลงานของตัวเองได้ เมืองใหญ่ ๆ มีนักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วน ขาดฉันไปคนหนึ่งคงไม่ได้เป็นไร แต่ในชนบทไม่เหมือนกัน พื้นที่ด้อยโอกาสในประเทศยังมีหลายแห่ง ที่ขาดบุคลากรอย่างเร่งด่วน ดังนั้น กำลังของฉันอาจทำประโยชน์แก่ชนบทได้ คงจะเปลี่ยนสภาพชีวิตของชาวบ้านได้บ้าง" นี่คือความคิดของนางสาวหวัง เหมิงเหมิง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ขณะที่เธอยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ที่กำลังจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอเห็นแรงงานชาวนาทำงานก่อสร้างในมหาวิทยาลัย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากยากจน บางคนต้องหอบทารกอายุไม่กี่เดือนมาทำงานด้วย ทำงานไปพลาง ดูแลลูกไปพลาง นางสาวหวัง เหมิงเหมิงจึงเกิดความสงสารต่อคนกลุ่มนี้ และเกิดเป็นแนวคิดว่า หากชนบทที่พวกเขาอาศัยอยู่มีโอกาสการทำงาน พวกเขาก็ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้อีกต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 2013 เมื่อนางสาวหวัง เหมิงเหมิงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง เธอตัดสินใจไปสมัครสอบข้าราชการในหมู่บ้านซี โข่ง อำเภอติ้งหย่วน ของมณฑลอันฮุย ด้วยเป้าหมายที่ว่าจะช่วยชาวบ้านบุกเบิกธุรกิจ และใช้ความพยายามของตัวเองพัฒนาชีวิตของชาวบ้านให้ดียิ่งขึ้น ในปีนั้น เธอมีอายุแค่ 25 ปี ในสายตาของชาวบ้าน เธอยังอายุน้อยเกินไป เพิ่งจบการศึกษามา และกำลังเริ่มทำงานในสังคม ไม่มีประสบการณ์แม้แต่น้อย จะพัฒนาชนบทได้อย่างไร หมู่บ้านซี โข่งเพาะปลูกข้าวมาโดยตลอด เมื่อถึงฤดูแล้ง จึงยากที่จะมีผลผลิตที่ดี การที่นางสาวหวัง เหมิงเหมิงมีแผนจะพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ในชนบท ที่มุ่งจะแก้ไขปัญหาของชนบทซึ่งพบเจอกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ชาวบ้านไม่มีความมั่นใจในตัวเธอ
แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน แต่นางสาวหวัง เหมิงเหมิง ยังคงไม่ท้อใจ เธอได้ระดมเงินจำนวนหนึ่งจากครอบครัวเธอเอง นำเข้าสตรอเบอรี่ องุ่น และ ผักต่าง ๆ ก่อตั้งฐานเบิกเบิกธุรกิจในชนบท การทำงานของเธอใช่ว่าจะมีแต่ความราบรื่นและผลสำเร็จ เธอกลับต้องพบกับอุปสรรค และความล้มเหลวเป็นประจำ แต่เธอผู้นี้ก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อพบปัญหาก็ต้องหาวิธีการแก้ปัญหา เมื่อมีคนไม่เข้าใจ หรือ ไม่เชื่อใจ ก็ต้องพยายามอธิบายด้วยความจริงใจ เมื่อทำนาไม่เป็น ก็ต้องตั้งใจเรียน จนในที่สุด หมูบ้านซีโข่งได้เริ่มทำสวนปลูกสตรอเบอรี่ สวนองุ่น สวนผักและผลไม้ จนประสบความสำเร็จ ชาวบ้านต่างปลูกต้นพุทรา ท้อ แตงโม ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การอยู่ร่วมกับชาวบ้านเป็นเวลานาน ทำให้นางสาวหวัง เหมิงเหมิงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเจาะจงในหมู่บ้าน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2017 นางสาวหวัง เหมิงเหมิง ประสานงานกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เปิดโรงงานช่วยลดความยากจนแห่งแรกในอำเภอ โดยขั้นแรกของการดำเนินงาน ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการไม่มีงานทำของคนยากจน 40 คน
ตลอดเวลา 5 ปีหลังจากนั้น นางสาวหวัง เหมิงเหมิง ได้ช่วยเหลือครอบครัวยากจนกว่า 70 ครอบครัว ให้พ้นจากความยากจน โดยทุกครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 15,000 หยวน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกว่า งานของเธอเองมีความหมาย แม้จะไม่ได้ไปทำงานในตัวเมือง แต่ก็สามารถพลิกชีวิตช่วยคนชนบทในหมู่บ้านให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้
(Tim/Zi)