บทกวีกลางสวน
พอปี 1903 เริ่มมีโรงเรียนของรัฐบาลเปิดในตัวเมืองเสฉวนมากขึ้น พี่น้องของเขาก็ได้เข้าไปเรียน รวมทั้งโรงเรียนมัธยมที่เตรียมพร้อมสำหรับการไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพี่ชายของเขาก็ได้เดินทางไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ที่กรุงโตเกียว ส่วนกัว โม่โรว นั้นยังคงเรียนต่อในเมืองเฉิงตูจนจบมัธยม
แต่ในเดือนตุลาคม ปี 1911 เขาก็ได้รับข่าวสุดประหลาดใจ เมื่อแม่มาบอกว่า เขาต้องแต่งานกับหญิงสาวที่ได้จัดไว้ให้ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ได้แต่ทำตามความต้องการของครอบครัว ทว่าหลังแต่งงานได้เพียง 5 วัน เขาตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านที่พ่อแม่หาไว้ให้ แล้วกลับไปยังเฉิงตู โดยไม่เคยหวนกลับไปหาภรรยาคนนั้นอีกเลย และแม้กระทั่งไปทำการอย่าร้างอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
ปี 1913 กัว โม่โรว ได้เดินตามรอยพี่ชายของตน โดยไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างช่วงที่เขาเรียนภาษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เขาได้ตกหลุมรักกับหญิงสาวญี่ปุ่นชื่อว่า ซาโต โทมิโกะ ซึ่งมาจากครอบครัวชาวคริสเตียน ซึ่งตอนหลังกัว โม่โรว ตั้งชื่อให้เธอว่า "อันนา" ทั้งคู่พบกันเมื่อกัว โม่โรว ไปเยียมเพื่อนที่โรงพยาบาลเซนต์ลุกส์ และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ซาโตกำลังฝึกงานพยาบาลอยู่ ในที่สุดทั้งคู่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานถึง 20 และมีลูกด้วยกัน 5 คน จนสงครามปะทุขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่พลัดพรากกัน
หลังจากจากโรงเรียนภาษาที่โอกายาม่าแล้ว ในปี 1918 กัว โม่โรว สมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เกียวชู ในจังหวัดฟูกูโอกะ แต่ชื่อของนักเขียนอย่าง สปีโนซ่า เกอเธ่ วอล์ต วิธแมน และบทกวีภาษาเบงกาลี ของ รพิทรนารถ ฐากรู นั้นได้ทำให้ชีวิตของเขาในช่วงนั้นหักเหความสนใจจากการเรียนหลัก มุ่งมาสนใจวรรณกรรมเสียมากกว่า