วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ การประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 15 และการประชุมประเทศภาคีพิธีสารเกียวโตครั้งที่ 5 จัดขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเกนนครหลวงเดนมาร์ก เพื่อร่วมกันเร่งฝีก้าวการลดภาวะโลกร้อนให้น้อยลง
นักวิเคราะห์ในกรุงปักกิ่งมีความเห็นโดยทั่วไปว่า ในสภาพที่ทั่วโลกมีแรงกดดันจากวิกฤติการเงินนั้น การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการรักษาให้เศรษฐกิจจีนพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องนั้น สำหรับจีนแล้วก็เหมือนเดินตามหนทางแห่งความปรารถนา มีแสงสว่างไสว แต่เต็มไปด้วยขวากหนาม
การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและคาร์บอนต่ำเป็นแนวโน้มการพัฒนาสำคัญของอนาคต ดร.โจวจี้แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินจีน หัวหน้าผู้แทนสถาบันวิจัยทรัพยากรโลกประจำจีนเห็นว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นหลักซึ่งต้องสิ้นเปลืองพลังงานสูงและระบายคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก ถ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสภาพเช่นนี้ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากนั้น ทรัพยากรพลังงานที่ฝั่งอยู่ใต้ดินมากที่สุดในจีนคือถ่านหินที่มีสีดำ ไม่ใช่น้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติ ดังนั้น ในกระบวนการสิ้นเปลืองพลังงานถ่านหินที่มีจำนวนเท่าเทียมกันกับการสิ้นเปลืองน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาตินั้น จีนจำเป็นต้องระบายคาร์บอนได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้ จีนได้เริ่มต้นแต่ไม่อยู่บนจุดเริ่มต้นเดียวกัน
นอกจากนั้น ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มองข้า,ไม่ได้คือต้นทุนทางสังคม ในกระบวนการปิดหน่วยกำเนิดไฟฟ้าขนาดย่อม โรงงานผลิตถ่านโคก โรงงานปิโตรเคมีคอ]ขนาดย่อมเป็นต้นจะต้องเกิดปัญหาที่มีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น และปัญหานี้จำเป็นต้องให้รัฐบาลระดับต่างๆและผู้ใช้แรงงานในจีนมารับผิดชอบโดยตรง
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ คนจีนโดยทั่วไปยังขาดการเตรียมการด้านจิตใจและจิตสำนึกเพื่อต้อนรับวิถีชีวิตคาร์บอนต่ำ
แต่ว่าจีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่จะรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศมากที่สุดในโลก ตามการคาดหมาย ในช่วง 20 ถึง 100 ปีข้างหน้านี้ อุณหภูมิถัวเฉลี่ยในจีนจะเพิ่มสูงขึ้น 0.5-0.7 องค์ศาทุกปี
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศเป้าหมายการปฏิบัติเพื่อควบคุมการระบายจำนวนคาร์บอนให้น้อยลง โดยตกลงว่า ถึงปี 2020 สัดส่วนการระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยอดมวลรวมการผลิตภายในประเทศของจีนจะลดลง 40-45% เมื่อเทียบกับปี 2005 ในขณะที่จีนได้ประกาศเป้าหมายการลดระบายคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลงนั้น จีนยังตกลงจะส่งเสริมการพัฒนาการสร้างระบบอุตสาหกรรม สิ่งก่อสร้างและการคมนาคมโดยมีลักษณะการระบายคาร์บอนต่ำ พยายามพัฒนาพลังงานที่สามารถหมุนเวียนและนำมาใช้ใหม่ตลอดจนพลังงานนิวเคลียร์เป็นต้น ถึงปี 2020 จะบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลกว่า 15%
นายเจียงซินหมินผู้เชี่ยวชาญสถาบันวิจัยพลังงานแห่งคณะกรรมการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติจีนกล่าวว่า ในช่วงวิกฤติการเงินปัจจุบัน การลดการระบายคาร์บอนให้น้อยลงสำหรับจีนแล้วเป็นการท้าทายที่ร้ายแรง แต่ว่าก็เป็นโอกาสดีจะบังคับให้ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม และให้เศรษฐกิจจีนพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังเห็นว่า เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ระดับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ ความสามารถด้านการประดิษฐ์คิดค้นและศักยภาพโดยรวมของจีนล้วนจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างมากในกระบวนการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ถ้ามองจากประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ทุกครั้งล้วนเกี่ยวเนื่องกับพลังงาน จากเครื่องยนต์ไอน้ำได้ทดแทนถ่านหิน น้ำมันทดแทนแรงขับเคลื่อนของไอน้ำ กระทั่งถึงปัจจุบัน พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานใหม่ก็อาจจะทดแทนพลังงานฟอสซิล การปฏิวัติอย่างนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันกับพลังงานเท่านั้น หากยังส่งเสริมให้ทั้งสังคมมีความก้าวหน้าอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ นายสื่อลี้ซันรองผู้อำนวยการกองพลังงานใหม่และพลังงานหมุนเวียนกรมพลังงานแห่งชาติจีนเห็นว่า รัฐบาลยังต้องให้การสนับสนุน เพื่อส่งเสริมให้วิสาหกิจประดิษฐ์คิดค้นใหม่ เสริมประสิทธิ์ภาพด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ให้สูงขึ้น สำหรับเทคนิคที่ก้าวหน้าและมีอยู่แล้วนั้น ยังต้องใช้ความพยายามเพื่อลดต้นทุนให้น้อยลงอีก