เป็นผู้อพยพในฐานะนักลงทุน
------"เพราะเหตุใดจึงอยากอพยพไปพำนักในต่างประเทศ"
เมื่อเดือนเมษายนปี 2011 นี้ได้นำเสนอ "รายงานว่าด้วยทรัพย์สินส่วนบุคคลของจีนปี 2011" ระบุว่า "กลุ่มชาวจีนที่มีทรัพย์สินลงทุนระดับมูลค่า 10 ล้านหยวนขึ้นไปในปี 2010 มีจำนวน 5 แสนคน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการสินลงทุนทั้งหมด 15 ล้านล้านหยวน ผลการสำรวจพบว่า กลุ่มคนดังกล่าวที่เข้าร่วมการสำรวจประมาณร้อยละ 60 ระบุว่า เป็นผู้อพยพในฐานะนักลงทุนเรียบร้อยแล้ว หรือ กำลังพิจารณาเรื่องการอพยพไปพำนักในต่างประเทศอยู่"
การสำรวจมีคำถามว่า "เพราะเหตุใดจึงอยากอพยพไปพำนักในต่างประเทศ" กลุ่มคนผู้ร่ำรวยทรัพย์ดังกล่าวตอบว่า "ต่างประเทศนั้น มีอากาศที่ดี สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี ค่าครองชีพไม่สูงนัก และลูกๆ มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีด้วย" ซึ่งเป็นชีวิตที่ใฝ่ฝันอย่างใจจดใจจ่อ
นอกจากนี้ การได้ถือสัญชาติต่างประเทศ หรือ กรีนการ์ด ใบอนุญาตให้พำนัก สำหรับบรรดาเศรษฐีแล้ว เป็นวิธีที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการเข้าออกประเทศต่างๆ ได้
นี่คือกระแสของการอพยพไปอยู่ต่างประเทศอีกระลอกหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันในจีน
ภายใต้คำขวัญ "การสร้างความรวยนั้นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ" ของท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ชาวจีนนับพันนับหมื่นคนได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นเศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้าน มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของทรัพย์สิน เช่น บ้านหลังใหญ่ รถหรูหรา การใช้วันหยุดอย่างราชา แต่สิ่งที่สร้างความแปลกใจคือ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยากจะออกจากประเทศจีน
นายจัง เหว่ยกวาง มีฐานะร่ำรวยขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 1990 เป็นเจ้าของบริษัทการวิจัยซอฟต์แวร์และจำหน่ายฮาร์ดแวร์ เขาเห็นว่า "ลูก" เป็นสาเหตุหลักอันดับแรกที่ทำให้คิดจะย้ายไปอยู่เมืองนอกแบบถาวร
บริษัทของนายจัง เหว่ยกวางตั้งอยู่ที่เขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเกียง ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2000 "เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือในกรุงปักกิ่ง"
แต่เนื่องจากลูกไม่มีทะเบียนบ้านในกรุงปักกิ่ง ซึ่งจะทำให้สอบเอ็นทรานซ์ หรือ สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่งไม่ได้ ต้องกลับไปสอบที่ซินเกียง ทำให้นายจังเดือดร้อนและกลุ้มใจมาก เพื่อนจึงแนะนำว่า "ให้ยื่นขอเป็นผู้อพยพไปอยู่แคนาดาโดยตรง และจะได้ทะเบียนบ้านแคนาดาด้วย อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีแก่ลูกด้านการศึกษา"
สาเหตุหลักที่ทำให้คนรวยอยากจะอพยพไปอยู่ต่างประเทศอีกประการหนึ่งก็คือ "ความปลอดภัย"
เพื่อนเล่าให้นายจังว่า ในต่างประเทศมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกหลายประการ อาทิ การศึกษาระดับอุดมศึกษา สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ สวัสดิการ ระบบการรักษาพยาบาล และความปลอดภัยด้านทรัพย์สิน...... นายจังจำได้ว่า มีประโยคหนึ่งที่เขารู้สึกแทบจะนึกไม่ถึง "เมื่อถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล แม้ข้าวกล่องก็มาจากเงินหลวง" นายจัง ซึ่งไม่เคยไปแคนาดามาก่อน จึงตอบรับเพื่อนว่าจะย้ายไปอยู่แคนาดา และย้ายไปเมื่อปี 2003 ต่อมา เขาซื้อบ้านในแคนาดาเมื่อปี 2005
------สาเหตุอพยพเพราะอยากเปลี่ยนสถานภาพ
นายหวัง เจี้ยนเหวิน จบสายวิทย์เมื่อปี 1989 มาจากชนบท ก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยเงินไม่กี่หมื่นหยวนและความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เขามี ต่อมามีบริษัทอยู่กรุงปักกิ่ง เขารู้สึกว่า แต่ละคนล้วนอยากครอบครองทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างแท้จริง เช่น ที่ดิน บ้าน ทว่าในจีนไม่สามารถตอบสนองความต้องการ "ครอบครองทรัพย์สินส่วนบุคคล" ได้
บริษัทของนายหวังเป็นบริษัทที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้ว เขาบอกว่า กรรมการหุ้นเก่าอีกหลายราย "ล้วนได้เปลี่ยนสัญชาติ หรือมีกรีนการ์ด เป็นผู้อพยพทั้งหมด" ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่น้อย
นายหวังบอกว่า "ตัวผมจะไม่เปลี่ยนสัญชาติ ธุรกิจยังอยู่ในจีน แต่ภรรยากับลูกอยู่เมืองนอกเป็นถาวร เหลือผมนายเดียว ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตของผม"
เขายังมีความกังวลเล็กๆ ว่า "ชีวิตในต่างแดน แสนสบาย แต่ไม่คึกคักพอ ปรับตัวยาก การทำเซ็งลี้หรือธุรกิจในต่างแดนใช่ว่าจะง่าย เพื่อนก็มีไม่มาก"
อย่างไรก็ตาม มีชาวจีนจำนวนมากอพยพไปอยู่แคนาดา ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในแคนาดาสูงขึ้น ในปี 2009 ราคาบ้านในแคนาดาปรับสูงขึ้นร้อยละ 60
(YING/LING)