China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2004-12-23 18:02:43    
"โจวโข่วเตี้ยน"--แหล่งฟอสซิล"มนุษย์ปักกิ่ง"

cri

เมื่อปีค.ศ.1929 นายเผย เหวินจง นักชีววิทยาชื่อดังของจีนได้ขุดพบซากฟอสซิลกระดูกหน้าผากของ กะโหลกศีรษะมนุษย์ชิ้นสมบูรณ์ที่สุดของมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อกว่า2แสน-7แสนปีก่อน แล้วตั้งชื่อมนุษย์วานรที่พบนี้ว่า "มนุษย์ปักกิ่ง" การค้นพบครั้งสำคัญดังกล่าวได้ดึงดูดความสนใจของ ชาวโลกอย่างกว้างขวาง ในรายการ"พาเที่ยวจีน"วันนี้ ดิฉันขอเสนอเรื่อง "โจวโข่วเตี้ยน"--แหล่งฟอสซิล "มนุษย์ปักกิ่ง"

จริงๆแล้ว เขตที่เรียกว่า "ภูเขาหลงกู่ซาน"ที่ได้ขุดพบซาก ฟอสซิลกระดูกหน้าผากมนุษย์ปักกิ่งนี้เป็นเนินเขาที่ไม่ค่อยสูงนัก ซึ่งห่างจากกรุงปักกิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ50กิโลเมตร โดยมีถ้ำใหญน้อยต่างๆรายรอบหลายแห่งในบริเวณดังกล่าว เมื่อปีค.ศ.1921 นายโจฮันน์ กันนาร์ แอนเดอร์สัน (Johann Gunnar Anderssonm)นักวิชาการชาวสวีเดนได้พบซากฟอสซิลฟัน มนุษย์ชิ้นแรกภายในถ้ำแห่งหนึ่งที่มีความยาวราว140เมตรบนเขาหลงกู่ซานในเขตตำบลโจวโข่วเตี้ยนนี้ ซึ่งถ้ำนี้ คนทั่วไปต่างนิยมเรียกกัน ว่า"ถ้ำวานรปักกิ่ง" เมื่อวันที่2ธันวาคมปี1929 ศาสตราจารย์เผย เหวินจงนักชีววิทยายุคดึกดำบรรพ์ของจีนได้พบซากฟอสซิลกระดูก หน้าผากของกะโหลกศีรษะมนุษย์ปักกิ่งชิ้นแรกที่สมบูรณ์ที่สุดและ ได้ค้นพบเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินตลอดจนร่องรอยการใช้ไฟในถ้ำมนุษย์วานรบนภูเขาหลงกู่ของโจวโข่วเตี้ยนเรื่อยๆในเวลาต่อมา สิ่งที่ค้นพบในเขตโจวโข่วเตี้ยนนี้สามารถยืนยันได้ว่า มนุษย์วานร ปักกิ่งเคยดำรงชีวิตอยู่ในเขตดังกล่าวมาก่อนและมีวิถีชีวิตอยู่ด้วย การเก็บของป่าและล่าสัตว์เมื่อกว่า2แสน-7แสนปีที่ผ่านมา ณ ที่แห่งนี้ยังปรากฏร่องรอยขี้เถ้าบนผนังถ้ำซึ่งมีความหนาประมาณ 4-6 เมตรอยู่ถึง5แห่ง และซากกองขี้เถ้าอีก3แห่ง รวมทั้งกระดูกที่มีร่อง รอยถูกไฟเผา ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า มนุษย์ปักกิ่งรู้จักการใช้ ประโยชน์จากไฟธรรมชาติ ทั้งยังรู้จักการควบคุมไฟและการเก็บรักษา เชื้อเพลิง เพื่อการทำอาหารให้สุก ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อีกทั้งใช้ป้องกันภยันตรายจากสัตว์ ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงวิวัฒน การก้าวเข้าสู่อารยะของมนุษย์ จากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน แหลมคมที่พบในถ้ำ มีขนาดเล็กใหญ่หนาบางต่างๆกัน ส่วนใหญ่เป็น เครื่องใช้ที่มีขนาดเล็กและใช้งานในโอกาสต่างๆ ทั้งใช้สำรับฟัน ทุบ เจาะ ฯลฯ เชื่อว่าใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับธรรมชาติ เป็นเครื่องใช้ในการ ผลิตและเพื่อทำกิจกรรมการใช้แรงงานอื่นๆ ความชาญฉลาดในการ สร้างเครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายสำหรับยังชีพนี้เป็นข้อแตกต่าง สำคัญที่แบ่งแยกระหว่าง มนุษย์กับวานร แต่น่าเสียดาย ในช่วงญี่ปุ่นรุกรานจีนในปีค.ศ.1937โบราณวัตถุที่ขุดพบดังกล่าว ได้สูญหายไปทั้งหมด!จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่ปรากฏร่องรอย และก็ไม สามารถสืบหาตามกลับมาเป็นมรดกของชาติอย่างหนึ่งได้ กระทั่งถึงเมื่อปี1966 การขุดค้นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งได้ขุดพบซาก ฟอสซิลกะโหลกศีรษะหนึ่งชิ้น ฟอสซิลฟันหนึ่งชิ้นและเครื่องมือหิน อีก 173ชิ้น รวมทั้งร่องรอยการใช้ไฟและซากฟอสซิลสัตว์ จำนวนมาก ฟอสซิลกะโหลกศีรษะชิ้นนี้นับว่า ได้กลายมาเป็น หลักฐานที่แท้จริงของฟอสซิลกะโหลกศีรษะมนุษย์ปักกิ่งเพียงชิ้น เดียวในโลกเท่านั้น

 

นับตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1949 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลจีนได้ใช้สถานที่ที่ขุดพบซากโบราณในถ้ำวานรปักกิ่งแห่งนี้ทำการศึกษาวิจัยและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงความรู้ เรื่องมนุษย์ปักกิ่ง โดยเปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อปี ค.ศ.1953 จนถึงวันนี้ซากฟอสซิลทั้งหมดที่ได้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ นอกจากจะมีบทบาทต่องานวิจัยเรื่องมนุษย์ปักกิ่งและด้านการ ศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์แล้ว การค้นพบครั้งสำคัญที่เขต โจวโข่วเตี้ยนนี้ยังได้ยุติข้อถกเถียงเกี่ยวกับ"มนุษย์เดินตัวตรง"หรือโฮ โมอิเรกตัสที่ว่าเป็นวานรหรือมนุษย์กันแน่ซึ่งข้อถกเถียงนี้ได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ นับตั้งแต่การค้นพบมนุษย์ชวาใน ศตวรรษที่19เป็นต้นมา หลักฐานที่ขุดพบและผลการศึกษาวิจัยมา เป็นเวลานานหลายปีของนักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ปักกิ่ง เป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์สายหนึ่งที่เป็นสายพันธุ์่ระหว่างมนุษย์วานรที่ วิวัฒนการมามาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน "มนุษย์ปักกิ่ง"ที่โจวโข่วเตี้ยนยังได้้ รับการยอมรับจากชาวโลกว่าเป็นบรรทัดฐานของมนุษย์เดินตัวตรงที่ สมบูรณ์ที่สุด มีระบบที่สุดและทรงคุณค่าที่สุด ส่วนโจวโข่วเตี้ยนนั้น นับเป็นแหล่งขุดพบฟอสซิลมนุษย์วานรแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและได้ชื่อว่าเป็นแหล่งโบราณคดีมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่มีฟอสซิลมนุษย์สมบูรณ์ที่สุด มีชีวิตชีวาที่สุดและดำเนินการศึกษาวิจัยลึกซึ้งที่สุดแห่ง หนึ่งของโลก "โจวโข่วเตี้ยน'"จึงมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลก นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเมื่อมีโอกาสไปถึงปักกิ่งก็จะต้อง พยายามเดินทางไปทัศนศึกษาที่โจวโข่วเตี้ยนให้ได้ ด้วยเหตุนี้ "โจวโข่วเตี้ยน"ที่มนุษย์ไม่ควรลืมนี้จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดก โลกทางวัฒนธรรมเมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1987