China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2005-11-29 13:32:19    
ชีวประวัติของเซี่ยง หยู่(Xiang Yu)

cri

"เซี่ยง หยู่ (Xiang Yu) " หรือ "ฌ่อปาอ๋อง" ที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกัน แต่คงยังไม่ทราบชีวประวัติในรายละเอียดของเซี่ยง หยู่มากนัก รายการวันนี้ ดิฉันขอแนะนำเซี่ยง หยู่ให้ท่านผู้ฟังรู้จักค่ะ

เซี่ยง หยู่เป็นผู้นำกองทัพชาวนาลุกขึ้นสู้ในช่วงปลายราชวงศ์ฉินที่มีชื่อเสียง แม้ว่าเซี่ยง หยู่มีอันต้องเสียชีวิตด้วยความพ่ายแพ้ในที่สุดก็ตาม แต่เขายังคงได้รับการเคารพและการสรรเสริญแซ่ซ้องจากผู้คนทั้งหลาย

เซี่ยง หยู่ถือกำเนิดในตระกูลขุนศึก ช่วงวัยเยาว์เขาเป็นผู้มีพลกำลังสุดประมาณ เล่ากันว่าเขาสามารถยกหม้อที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมขึ้นเหนือศีรษะได้ เซี่ยง หยู่ชอบการทหาร กระทั่งได้ฝึกวิชาการทำสงครามกับเซี่ยง เหลียงผู้เป็นอา เมื่อ 209 ปีก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์ฉินเกิดสงครามชาวนาลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ เซี่ยง หยู่ติดตามอาไปสมัครเข้าร่วมกองทหารชาวนาที่ลุกขึ้นสู้ ระหว่างการทำสงคราม เซี่ยง หยู่มีความห้าวหาญและความชำนาญในการทำศึก ได้สร้างชื่อเสียงดังกึกก้องทั่วทั้งแผ่นดิน เขาจึงได้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำกองทัพกองหนึ่ง หลังจากนั้น เซี่ยง หยู่กับหลิว ปังได้ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน ในที่สุดเซี่ยง หยู่เป็นฝ่ายแพ้และฆ่าตัวตาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เนื่องจากเซี่ยง หยู่เป็นผู้มีน้ำใจไมตรีจิต จึงยังคงได้รับการเคารพจากชนรุ่นหลังมาโดยตลอด

เมื่อกล่าวถึงความกล้าหาญของเซี่ยง หยู่นั้น "ทุบหม้อจมเรือ" ซึ่งเป็นคำพังเพยจีนคำหนึ่งก็เป็นพยานหลักฐานที่ดี เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ 207 ปีก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยง หยู่นำทัพยาตราไปที่กรุงเสียนหยางราชธานีของราชวงศ์ฉิน หลังจากข้ามแม่น้ำจางเหอไปแล้ว เซี่ยง หยู่ก็สั่งการให้นายและพลทหารแต่ละนายพกเสบียงอาหารแห้งจำนวนเท่าที่จะดำรงชีพได้สามวัน ให้ทุบทำลายหม้อสำหรับการปรุงอาหาร ตลอดจนให้เจาะเรือให้รั่วจมเรือทั้งหมด แล้วเซี่ยง หยู่กล่าวคำปราศรัยต่อหน้านายและพลทหารทั้งหลายว่า "ความเจริญรุ่งเรืองหรือความหายนะของบ้านเมือง ขึ้นอยู่กับการทำศึกครั้งนี้ครั้งเดียว ต้องเอาชนะให้ได้ แพ้ไม่ได้เป็นอันขาด" ต่อจากนั้น กองทัพของเซี่ยง หยู่ก็ได้เปิดฉากสู้รบกับกองทัพของราชวงศ์ฉินอย่างดุเดือด เนื่องจากนายและพลทหารของเซี่ยง หยู่ต่างทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าไม่มีทางอื่นเอาชีวิตรอดได้อีกแล้ว มีแต่จะทำการสู้รบอย่างไม่คิดชีวิตเท่านั้น ฉะนั้น กองทัพของเซี่ยง หยู่จึงได้รับชัยชนะครั้งสำคัญในที่สุด ในคำพังเพยของจีนนั้น คำว่า "ทุบหม้อจมเรือ" ก็กลายเป็นคำที่มีความหมายแทนคำว่าทำสงครามที่ชี้ขาดความเป็นความตาย

ท่านผู้ฟังคะ แม้ว่าเซี่ยง หยู่มีความกล้าหาญเหลือประมาณก็ตาม แต่เขามีจุดอ่อนด้านกลยุทธ์ในการทำสงคราม ระหว่างสงครามต่อต้านราชวงศ์ฉินนั้น เซี่ยง หยู่กับหลิว ปังสาบานเป็นพี่น้องกันและให้การสนับสนุนแก่กันและกัน สองฝ่ายทำข้อตกลงไว้ว่า หากผู้ใดสามารถบุกยึดกรุงเสียนหยางได้ก่อน ผู้นั้นก็จะสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นอ๋อง เวลานั้น กองทัพของเซี่ยง หยู่มีจำนวน 4 แสนคน ส่วนของหลิว ปังมีเพียงแสนคนเท่านั้น แต่หลิว ปังกลับสามารถบุกยึดกรุงเสียนหยางได้ก่อน เมื่อทราบข่าวนี้ เซี่ยง หยู่มีความโกรธเคืองเต็มทรวง จึงนำทัพไปถึงหงเหมินซึ่งอยู่ใกล้ๆ กรุงเสียนหยาง เขารับฟังกลอุบายจากเสนาบดีของเขา แล้วจัดงานเลี้ยงหลิว ปังเพื่อหวังจะสังหารเขาเสีย แม้ว่าระหว่างงานเลี้ยง เหล่าเสนาบดีของเซี่ยง หยู่แอบส่งสัญญาณหลายครั้งให้เซี่ยง หยู่ออกคำสั่งให้สังหารหลิว ปังเสียก็ตาม แต่เซี่ยง หยู่ใจอ่อนและคำนึงถึงความเป็นพี่น้องกันอยู่เนืองๆ จึงปล่อยให้หลิว ปังฉวยโอกาสหนีไปได้ในที่สุด นี่คือที่มาของคำกล่าวที่ว่า "งานเลี้ยงหงเหมิน" ที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ของจีน "งานเลี้ยงหงเหมิน" แสดงให้เห็นความมีน้ำใจไมตรีของเซี่ยง หยู่ แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นและความลังเลใจไม่มีความเฉียบขาดของเขาด้วย การพลาดโอกาสสังหารหลิว ปังในครั้งนั้น เป็นต้นเหตุที่นำเขาไปสู่ความปราชัยในที่สุด

เมื่อได้ปล่อยหลิว ปังไปเสียแล้ว เซี่ยง หยู่ก็เข้าสู่กรุงเสียนหยางและสถาปนาตนเองเป็น "ซีฉู่ป้าอ๋อง" หรือ "ฌ่อปาอ๋อง" ที่คนไทยคุ้นหูกัน มีฐานะเท่ากับพระจักรพรรดิ และแต่งตั้งให้หลิว ปังเป็นฮั่นอ๋อง ต่อมา หลิว ปังกลับเป็นผู้ก่อสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์อยู่ถึง 4 ปี เรื่องนี้ได้รับการบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ว่าเป็น "สงครามฉู่-ฮั่น" แรกเริ่มเดิมทีนั้น เซี่ยง หยู่มีแสนยานุภาพมากกว่า แต่เขาไม่รับฟังคำติชมใดๆ เอาแต่ดื้อรั้นในความคิดของตัวเองอย่างเดียว เหล่าเสนาบดีและนายทหารทั้งหลายจึงพากันทรยศหนีไป นอกจากนี้ เซี่ยง หยู่ยังชอบโอ้อวดต่อบรรดาเจ้าผู้ครองนครรัฐต่างๆ สร้างศัตรูขึ้นมาอยู่เสมอ จนถึงเมื่อ 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช กองทัพของเซี่ยง หยู่ถูกกองทัพของหลิว ปังปิดล้อมที่กายเซี่ยซึ่งอยู่ในมณฑลอันฮุยปัจจุบัน เซี่ยง หยู่เห็นไม่ได้การณ์เสียแล้ว จึงร้องเพลงด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้าสลด หยู จี คู่รักและพระสนมคนโปรดของเขาเมื่อได้ยินเสียงก็ผวารีบวิ่งออกมาดู หยู จีเป็นเพื่อนบ้านเดียวกับเซี่ยง หยู่ สองคนรักกันอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยพลัดพรากจากกันสักครั้งเดียวแม้ในยามสงคราม ขณะนี้อันตรายถึงแก่ชีวิตได้มาถึงแล้ว เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นภาระแก่เซี่ยง หยู่ในระหว่างทำการหักด่านหาทางออกจากการปิดล้อม หยู จีรอจังหวะที่เซี่ยง หยู่ไม่ทันสังเกต ชักดาบจากบั้นเอวของเซี่ยง หยู่ออกมา แล้วปาดคอตัวเองตาย เซี่ยง หยู่เสียใจยิ่งดั่งหัวใจจะขาด แต่ก็จำต้องอำลาศพของหยู จีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วนำทหารม้า 800 นายหักด่านไปได้ นี่ก็คือความเป็นมาของคำว่า "ฌ่อปาอ๋องอำลาพระสนม" ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมด้านความรักที่ได้รับการเล่าขานกันตลอดนับพันปีที่ผ่านมา และเรื่องนี้ก็ได้ถูกนำไปแต่งเป็นละครงิ้วหรือรูปแบบการแสดงประเภทอื่นๆ มากมายจนเป็นที่รู้จักดีของผู้คนทั้งหลาย

ท่านผู้ฟังคะ หลังจากเซี่ยง หยู่สามารถหักด่านออกไปได้แล้ว กองทหารของหลิว ปังก็ไล่ล่าเขาอย่างเฉียดฉิวถึงบริเวณฝั่งแม่น้ำวูเจียง ในชั่วขณะเส้นยาแดงผ่าแปดเช่นนี้ มีเรือประมงลำหนึ่งอยู่ในแม่น้ำพอดี ชาวประมงยินดีจะพาเซี่ยง หยู่ข้ามฟากกลับไปถึงถิ่นเดิม แต่เซี่ยง หยู่กลับไม่ยอมลงเรือ เอามือปิดหน้าอุทานขึ้นมาว่า "ข้าจะมีหน้าไปพบพ่อแม่ร่วมชาติที่ฝั่งตะวันออกได้อย่างไรเล่า" ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาสังหารตนเองเสีย รวมขณะนั้นเซี่ยง หยู่มีอายุเพียง 31 ปีเท่านั้น