China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2007-07-13 14:15:58    
นักเศรษฐศาสตร์ไทยกล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทย

cri

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังขาดเสถียรภาพในปัจจุบัน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาในหลายด้าน แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร จึงเป็นประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจกันมาก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าวซีอาร์ไอประจํากรุงเทพ์ได้ขอสัมภาษณ์ ด.ร. สมภพ มานะรังสรรค์อาจารย์ประจําคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจไทย ต่อไปขอเชิญท่านฟังคําให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ สมภพ มานะรังสรรค์ครับ

ผู้สื่อข่าว?อาจารย์ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรครับ

ด.ร.สมภพ มานะรังสรรค์?คือเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนี้ ผมว่าเมื่อการเมืองชัดเจนขึ้น มีการเลือกตั้งตามที่รัฐมนตรีออกมาตามกําหนด แล้วก็มีการเลือกตั้งที่ตามมา ผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะตกตํ่ากว่านี้อีกแล้ว ในปีนี้ผมว่า GDP คงอยู่ที่ประมาณ 4% ลดนิดหน่อย ยังใช้ได้อยู่ วิกฤตผมคิดว่าไม่น่าจะเกิด แต่ว่าขณะเดียวกันถามว่ามันจะมีการขยายตัวเหมือนจีนไหม เมือนอินเดียไหม เหมือนเวียดนามไหม คงบอกว่ายัง คงได้ประมาณอย่างมากเฉลี่ยแล้ว 4-5% เพราะว่าไทยเปิดประเทศมานานแล้ว ไทยเปิดประเทศมาตั้งแต่ปี 1957 เมื่อปี 1960 เปิดเต็มที่ ฉะนั้นเปิดมาอีก 20 ปีจีนจึงเริ่มเปิด จีนเปิดประมาณ 1979 1980 ใช่ไหมครับ หลังจากนั้นอินเดียเิริ่มเปิดปี 1990 แล้วเวียดนามเริ่มเปิดปี 2000 ใช่ไหม ตอนนี้เป็นยุคของจีนยุคของอินเดียยุคของเวียดนาม จีนไม่น่าแปลกใจ เพราะว่าทั้งสามประเทศยังสามารถใช้ภาคเศรษฐกิจจีนเช่นการผลิตสิ่งทอก็ดี อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ก็ดี ไปได้อีกนาน รวมภาคเกษตรด้วย แต่ว่าไทยต้องปรับตัวเองสู่ภาคบริการมากขึ้น เพราะเป็นภาคที่เช่นคนจีนรํ่ารวย คนอินเดียรํ่ารวย คนเวียดนามรํ่ารวย ก็เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย มารักษาโรคที่เมืองไทย หรือแม้แต่มาเรียนหนังสือต่อบางส่วนที่เมืองไทย โดยอย่างยิ่งเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องเกี่ยวกับบริการทั้งหลาย เมืองไทยเป็นประเทศที่พอยังมีความสามารถด้านนี้อยู่ ส่วนเรื่องการผลิตก็คงต้องยอมรับว่านับวันจะมีประเทศเกิดใหม่เรื่อยๆที่เป็นประเทศที่พัฒนาพึ่งจะเปิดประเทศพัฒนามาช้ากว่าขึ้นมาเรื่อยขึ้นมาเรื่อย การเมืองผมคิดว่ามีนํ้าหนักมาก แต่ว่าปัญหาเศรษฐกิจอันหนึ่งก็คือปัญหาเศรษฐกิจระยะยาวด้วย ผมคิดว่าตอนในในประเทศไทยขีดความสามารถในการแข่งขันในหลายๆอุตสาหกรรมลดตํ่าลง เป็นเพราะว่าค่าแรงแพงมากแล้ว สองก็คือ ตลาดในประเทศเล็ก คือสิ่งในจีน สิ่งในอินเดีย สิ่งในเวียดนาม เขาเรียกว่าเป็นตลาดสองขา ตลาดอยู่ทั้งในประเทศตลาดนอกประเทศด้วย และขณะเดียวกันต้นทุนก็มีความได้เปรียบด้วย มีความได้เปรียบทั้งการผลิตทั้งตลาด แล้วก็ขณะเดียวกัน ต่างชาติให้ความสนใจเข้าไปลงทุน เพราะการลงทุนยังน้อยอยู่ เช่นเวียดนาม เช่นอินเดีย แม้ว่าจีนลงทุนมากแล้วก็ตาม แต่ไทยลงทุนมากแล้ว ก็คงจนถึงอิ่มตัว แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ การปรับตัวของธุรกิจไทยเองก็ปรับตัวไม่ได้มาก อันนี้ต้องยอมรับเลย เพราะนั้นเศรษฐกิจไทยผมว่าในช่วงที่ผ่านมานี้พอใจกับค่าเงินอ่อนมากเกินไป บางคนเรียกว่าเศรษฐกิจค่าเงินอ่อน ก็คือนักธุรกิจไทยในอดีตใช้ 3 เรื่องเป็นตัวเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หนึ่งคือค่าเงินอ่อน สองคือค่าแรงถูก สามคือใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาก เช่นที่ดินอะไรต่างๆมีอยู่มาก สามตัวนี้คือสามตัวแปรที่ทําให้รักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจเอกชนไทย แต่ตอนนี้สามตัวนี้หายไปหมดแล้ว ค่าแรงไม่ต้องพูดถึง ที่ค่าแรงพอยังถูกอยู่บ้างก็คือเอาแรงงานพม่าแรงงานเพื่อนบ้านมา ซึ่งมีปัญหามากมาย มีปัญหาสังคมต่างๆ และในขณะเดียวกัน ที่ดินไม่ต้องพูดถึง ไม่เหลือแล้ว ตอนนี้ต้องไปเพาะปลูกที่เพื่อนบ้านด้วยซํ้าไป เช่นธุรกิจใหญ่ๆเกี่ยวกับเกษตรไทยต้องไปปลูกที่ลาว ไปที่เขมร ไม่มีที่อีกแล้ว ส่วนอัตรแลกเปลี่ยนไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบาทแข็งค่าขึ้น ถ้าบาทสองบาทต่อดอลลาร์ ผู้ส่งออกไทยมีปัญหาทันที ฉะนั้น คือเราอยู่ในโลกของทุกวันนี้ โลกมีเรื่องของภาคการเงินเป็นตัวนําในการกําหนดเศรษฐกิจโลก มันก็อยู่ในทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งและอ่อน ต้องมีความยืดหยุ่นได้ และต้องเรียนรู้จากสงอประเทศอย่างน้อย คือญี่ปุ่นกับเกาหลี ต้องรู้ดีว่า ก่อนปี 1971 หนึ่งดอลลาร์แลกได้ 367 เยน ปี 1985 หนึ่งดอลลาร์แลกได้ 257 เยน ปัจจุบันนี้ หนึ่งดอลลาร์แลกได้ 127 เยน ก่อนหน้านี้ หนึ่งดอลลาร์แลกได้ 100 เยน ถามว่าญี่ปุ่นจนลงไหม ญี่ปุ่นอยู่ได้และก็ยังลงทุนทั่วโลกด้วย ขยายลงทุนการค้าไปทั่วโลก ไปดูเกาหลี เกาหลีก็เกิดปัญหาเดียวกับประเทศไทย หลังประเทศ 2-3 เดือน หนักกว่าเมืองไทยด้วย เงินวอนต่อดอลลาร์ลดจาก 900 ต้นๆไปเป็น 1,700 วอน แต่ตอนนี้กลับไปที่เก่าแล้ว 920-930 วอน เหมือนเดิมแล้ว แต่ถามว่าเกาหลีทุกวันนี้จนลงกว่าเดิมไหม ผมว่ารวยขึ้นอีก และก็ไปลงทุนทั่วโลกด้วย ลงทุนในจีน ลงทุนในซาอุดีอาระเบีย ในอาเซี่ยน ลงทุนแม้แต่ในอเมริกาในยุโรป เกาหลีกลับยิ่ง go inter ไปมากยิ่งขึ้น go inter ทั้งเรื่องวัฒนธรรม เรื่องหนัง เรื่องละคร เรื่องดนตรี ฉะนั้นแล้ว อยู่ในโลกนี้ต้องยืดหยุ่น รุกได้ถอยได้ ฉะนั้นระบบเศรษฐกิจต้องสร้างความยืดหยุ่นขึ้นมาให้ได้

ท่านผู้ฟังครับ ที่จบลงคือคําให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ สมภพ มานะรังสรรค์อาจารย์ประจําคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจไทย