China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2008-09-24 21:18:20    
ความพยายามและผลสำเร็จของจีนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ

cri

ในฐานะประเทศกำลังพัฒนาที่มีความรับผิดชอบสูง รัฐบาลจีนได้กำหนด"หนังสือปกขาวว่าด้วยการพัฒนาประชากรและสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่ 21" ซึ่งเป็นแผนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาว่าด้วยสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาของสหประชาชาติเมื่อปีค.ศ.1992 จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายและใช้มาตรการต่างๆตามสภาพจริงของประเทศ และสร้างคุณูปการมากเพื่อระงับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก

ประการแรก ปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 รัฐบาลจีนก็ได้เพิ่มความสำคัญในงานเปลี่ยนแปลงวิธีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และกำหนดภารกิจการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ส่งเสริมการผลิตที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การป้องกันและกำจัดมลพิษจากอุตสาหกรรมเป็นส่วนประกอบสำคัญของนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่เหมาะสม โดยเร่งพัฒนาการบริการ ปรับปรุงโครงสร้างภายในของอุตสาหกรรมให้ดีขึ้น โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ เมื่อปี 1990 สัดส่วนระหว่างเกษตรกรรม อุตสาหกรรมกับการบริการคือ 29.6 ต่อ 41.3 ต่อ 31.8 ถึงปี 2005 ได้เปลี่ยนเป็น 12.6 ต่อ 47.5 ต่อ 39.9 สัดส่วนของเกษตรกรรมลดลงอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนการบริการเพิ่มสูงขึ้นขนานใหญ่ โดยเฉพาะโทรคมนาคม การท่องเที่ยว การเงิน ถึงแม้สัดส่วนของอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น แต่โครงสร้างภายในของอุตสาหกรรมก็เหมาะสมยิ่งขึ้น เพราะการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล สารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดผลด้านประหยัดพลังงานใหญ่หลวง ตั้งแต่ปี 1991 ถึงปี 2005 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประชาชาติของจีนถัวเฉลี่ยคือ 10.2% ขณะที่อัตราการเติบโตของการบริโภคพลังงานถัวเฉลี่ยเป็นเพียง 5.6% เท่านั้น

ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ประกาศใช้แนวทาง"การพัฒนากับการประหยัดสำคัญเท่ากัน ส่งเสริมการประหยัดมาโดยตลอด" เป็นการกำหนดการประหยัดพลังงานเป็นสำคัญทางยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงาน นอกจากบัญญัติและประกาศใช้"กฎหมายว่าด้วยการประหยัดพลังงานของจีน"แล้ว ยังดำเนินนโยบายทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเงิน ภาษีและการบริหารงาน กำหนดมาตรฐานในการประหยัดพลังงาน สนับสนุนการวิจัย บุกเบิกและเผยแพร่เทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน แถมยังนำเข้าเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากต่างประเทศด้วย และส่งเสริมโครงการที่ประหยัดพลังงานเป็นหลัก มาตรการดังกล่าวได้ประกันให้งานประหยัดพลังงานได้ผลสำเร็จที่น่าพอใจ ปริมาณการใช้ถ่านหินเพื่อสร้าง GDP ที่มีมูลค่า10,000 หยวน ลดลงจาก 2.68 ตันในปี 1990 มาเป็น 1.43 ตันในปี 2005 สาขาอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้พลังงานสูง ก็ได้ลดปริมาณการใช้พลังงานอย่างชัดเจน เทียบกับปริมาณการใช้พลังงานของปี 1990 กับปี 2005 ปริมาณการใช้ถ่านหินเพื่อกำเนิดไฟฟ้า 1000 วัตต์ชั่วโมงของเตาขนาด 6000 กิโลวัตต็ได้ลดจาก 427 กรัมมาเป็น 376 กรัม ปริมาณการใช้ถ่านหินเพื่อถลุงเหล็กกล้า 1 ตันของวิสาหกิจที่ทันสมัยได้ลดจาก 997 กิโลกรัมมาเป็น 702 กิโลกรัม ปริมาณการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตคอนกรีต 1 ตันของวิสาหกิจที่ทันสมัยได้ลดจาก 201 กิโลกรัมมาเป็น 157 กิโลกรัม ในช่วง 15 ปีตั้งแต่ค.ศ.1991 – 2005 การปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้เหมาะสมยิ่งขึ้น กับการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ทำให้จีนประหยัดพลังงานถ่านหินประมาณ 800,000,000 ตัน เท่ากับจีนได้ลดปริมาณการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ ตั้ง 1,800,000,000 ตันเพราะตามปกติ การผลิตทางอุตสาหกรรมเผาถ่านหินทุกหนึ่งตันจะต้องปล่อย carbon dioxide 2.277 ตัน

ประการที่ 2 พัฒนาพลังงานที่มีสารคาร์บอนต่ำและพลังงานรีไซเคิล ปรับปรุงโครงสร้างการใช้พลังงานให้ดีขึ้น รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องและเพิ่มการลงทุน เสริมสร้างการบุกเบิกและใช้พลังงานน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าสธรรมชาติและก๊าสถ่านหิน ส่งเสริมให้เขตชนบทและเขตที่เอื้อต่อการใช้พลังงานใหม่ใช้พลังงานใหม่และพลังงานรีไซเคิลให้มากขึ้น เช่นเชื้อเพลิงชีวภาพ พลังงานแสงแดด พลังความร้อนใต้ พลังงานลมเป็นต้น สัดส่วนยอดการใช้ถ่านหินลดลงจาก 76.2% ของปี 1990 มาเป็น 68.9% ของปี 2005 ขณะที่สัดส่วนยอดการใช้น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าสธรรมชาติ และไฟฟ้าที่กำเนิดจากทรัพยากรน้ำในยอดการใช้พลังงานทั้งหมดเพิ่มจาก 16.6% 2.1% และ 5.1% ของปี 1990 มาเป็น 21% 2.9% และ 7.2% ของปี 2005