China Radio International
ข่าวภายใน
    ประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
 ข่าวการเมืองและ
 การต่างประเทศ
 ข่าวเศรษฐกิจ
 ข่าววัฒนธรรม

 ข่าววิทยาศาสตร์
  เทคโนโลยี่

 ข่าวกีฬา
 ข่าวอื่น
วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2009
อ่านต่อ>>

จีนปัจจุบัน

เศรษฐกิจ

พาเที่ยวจีน

วัฒนธรรม

ชนชาติส่วนน้อย

การเมือง
(GMT+08:00) 2009-09-10 19:33:12    
ศาสตราจารย์ประพิณ มโนมัยวิบูลย์ อาจารย์สอนภาษาจีนคนแรกในมหาวิทยาลัยของไทย (1)

cri

เมื่อกล่าวถึงการเรียนการสอนภาษาจีน ท่านผุ้ฟังหลายท่านก็อาจกล่าวเป็นเเสียงเดียวกันว่า นั่นละ เป็นวัตถุประสงค์แท้จริงของการรับฟังรายการของซีอาร์ไอเพราะมีรายการสอนภาษาจีนทั้งทางวิืยุและทางอินเตอร์เน็ต และขณะนี้ การเรียนภาษาจีนกำลังกลายเป็นเป็นกระแสนิยม ในเมืองไทยมีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศเปิดสอนภาษาจีน รัฐบาลจีนก็ได้ส่งครูอาสาสมัครไปสอนในประเทศไทยปีหนึ่งกว่าพันคนทีเดียวค่ะ แต่ท่านผู้ฟังเคยทราบไหมคะว่า การเปิดวิชาภาษาจีนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เปิดสอนภาษาจีนในมหาวิทยาลัยของไทยนั้น ต้องถูกตำรวจสันติบาลเพ่งเล็งมากแถมยังเข้าไปนั่งฟังในห้องเรียนว่าสอนอะไรบ้าง เพราะตอนนั้นจีน-ไทยยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต การเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยกว่าจะเจริญเฟื่องฟูมากๆ ในทุกวันนี้ ศาสตราจารย์ดร.ประพิณ มโนมัยวิบูลย์ ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งผู้อำำนวยการศูนย์เอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนศิรินธร นายกสมาคมครูภาษาจีนของประเทศไทย และตำแหน่งสำคัญๆ เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาจีนของไทยอีกหลายตำแหน่ง เป็นผู้ทุ่มเทกำลังส่งเสริมผลักดันมาตลอด และเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนคนแรกในมหาวิทยาลัยของไทยค่ะ ในรายการวันนี้ เรามาฟังอาจารย์ประพิณเล่าเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการการเรียนการสอนภาษาจีนของประเทศไทยค่ะ

สมัยนั้นต้องไปศึกษาภาษาจีนที่สหรัฐอเมริกา

เรื่องภาษาจีนที่จุฬาเริ่มเปิด ตอนนั้นประมาณปี 1965 จุฬาฯ เปิดสอนภาษาญี่ปุ่น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นส่งอาจารย์มาช่วยทั้งหมด พอจุฬาฯ เปิดภาษาญี่ปุ่นแล้วก็มีคนท้วงติงเยอะว่า ทำไมเปิดภาษาญี่ปุ่น แทนที่จะเปิดภาษาจีน เพราะภาษาจีนเป็นภาษาที่ญี่ปุ่นรับอิทธิพลไป ควรจะเปิดภาษาจีนมากกว่าภาษาญี่ปุ่น แต่ภาษาจีนนี้เปิดไม่ได้เพราะไม่มีมูลนิธิไหนช่วยเปิด และเราไม่มีอาจารย์ที่รู้ภาษาจีนในจุฬาฯ เผอิญตอนนั้นเรียนภาษาไทยปริญญาโทอยู่ คือที่จริงเอกภาษาไทยมีทั้งปริญญาโทปริญญาเอก ชอบภาษาไทยมากกว่า เรียนปริญญาโทอยู่และเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง สามก๊ก เผอิญเป็นคนที่พูดถาษาจีนได้นิดหน่อย พูดภาษาแต้จิ๋วได้ิ แต่อ่านเขียนไม่ได้ พอคณะอักษรถูกคนท้วงเยอะๆ ก็คิดว่าควรจะเปิดถาษาจีน และคิดว่าเมื่อเราไม่มีคนเราก็ควรจะส่งอาจารย์รุ่นเด็กๆ ของเราไปเรียนภาษาจีนที่ไหนสักแห่ง และกลับมาเปิดภาษาจีนให้ ดูจากภาษาญี่ปุ่นแล้วเขาส่งคนมาสอนทุกอย่าง มูลนิธิญี่ปุ่นเขาสอนอะำไรเราไม่รู้เรื่อง คณะอักษรเลยคิดว่าควรจะมีคนไทยที่รู้ภาษาจีนมาเปิดภาษาจีนและสอน เผอิญตอนนั้นทางอเมริกามีทุนให้ คือศาสตราจารย์หลี่ฟางกุ้ยมาเมืองไทยและบอกว่ามีทุนของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งจะให้ไปเรียนภาษาจีนได้ และท่านก็อยากได้คนไทยไปเรียน เพราะท่านคิดว่าภาษาไทยกับภาษาจีนมีความสัมพันธ์กัน ศาสตราจารย์หลี่ฟางกุ้ยเป็นนักภาษาศาสาตร์ที่มีชื่อเสียงมาก ศึกษาเรื่องภาษาไทยและภาษาจีนมาตลอด เพราะฉะนั้นคณบดี ณ ขณะนั้น ก็บอกว่า โอ้ ประพิณ พูดภาษาแต้จิ๋วได้ สนใจเรื่องจีนใช่ไหม ทำเรื่อง สามก๊ก ก็ไปเรียนภาษาจีนแล้วกันและกลับมาเปิดภาษาจีนให้คณะอักษรศาสตร์ ทางจุฬาก็ตกลงจะรับทุนทางมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พอจบปริญญาโทปี 1967 สอบวิทยานิพนธ์เสร็จก็เดินทางไปอเมริกาเลย ไปที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ซีอาโท เพราะตอนนั้นที่นั่นภาษาจีนเป็นท็อป 10 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่งมากทางด้านภาษาจีน ก็ไปเรียนที่นั่น ไปถึงแล้วถึงทราบว่าภาษาแต้จิ๋วกับภาษาจีนกลางไม่เหมือนกันเลย เพราะเมื่อก่อนไม่มีความรู้เรื่องภาษาจีนเลย ไปถึงแล้วก็พูดได้นิดหน่อยเฉพาะแต้จิ๋ว ต้องเรียนภาษาจีนกลางตั้งแต่ปีหนึ่งเลย คือความที่ไม่มีความรู้ จุฬาส่งไปเรียนปริญญาโทก็จริง แต่ต้องเรียนวิชาที่เป็นวิชาปริญญาตรีทั้งหมดที่เป็นภาษาจีน ต้องเก็บหน่วยกิจภาษาจีนทั้งหมดเลย เก็บหมดภายใน 2 ปี เรียนซัมเมอร์ เรียนหนักมากตอนแรกๆ อาจารย์ที่สอนที่นั่นเป็นอาจารย์ที่เคยเป็นอาจารย์สอนที่ปักกิ่งก่อนและออกจากประเทศตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 1949 มีศาสตราจารย์ที่เป็นคนจีนหลายคน เช่น ศาสตรจารย์หลี่ฟางกุ้ย ศาสตรจารย์เหยียน และมีอาจารย์หลายๆ ท่าน และมีอาจารย์ฝรั่งด้วย แต่ก็เป็นอาจารย์ฝรั่งที่พูดจีนเก่งมากไม่เห็นหน้าก็ไม่รู้ว่าเป็นฝรั่ง คนหนึ่งเคยเป็นบาทหลวงอยู่เมือวจีนเกือบ 20 ปี ท่านมีภรรยาเป็นคนจีน เพราะฉะนั้นพูดภาษาจีนกลางกันเก่นมากเลย วิธีสอนคือช่วงเช้าอาจารย์จะเล็คเชอร์ บ่ายก็จะมีพวกติวเตอร์ที่เป็นคนจีนที่ไปเรียนปริญยเอก มหาวิทยาลัยจับไปท่องทุกวัน ท่องบทเรียน ท่องบทเรียน พอเรียนถึงปริญญาโทก็กลับจุฬาว่าไม่อยากเรียนแล้วคิดถึงเมืองไทย อยากกลับบ้าน แต่พอมาถึงคณบดีตอนนั้นเผอิญเปลี่ยนคณบดี ท่านก็บอกว่าไม่ได้ ประพิณต้องกลับไปเรียนใหม่ให้ถึงปริญญาเอก ท่านบอกว่ากว่าจะมาเปิดภาษาจีนที่จุฬาควรจะต้องจบปิญญาเอก จะได้เก่ง และก็ปริญญาโทอีกหน่อยก็ไม่มีความหมายแล้ว ให้กลับไปเรียนใหม่ ทั้งๆ ที่ไม่อยากไป ก็เลยต้องกลับไป ท่านก็หาทุนให้ใหม่ ก็ไปเรียนต่อที่ที่เดิม ก็เรียนต่อถึงปริญญาเอก และจบกลับมา ตอนนั้นเรียนถึงปี 1973 และเขียนวิทยานิพนธ์ หลายปี พอ1973 ก็กลับมาเก็บข้อมูลที่เมืองไทย ตอนที่กลับมานั้น ท่านก็ให้เปิดภาษาจีนเลย เปิดภาษาจีนเป็นวิชาเลือกที่คณะอักษรศาสตร์ สอนอยู่ประมาณปีหนึ่งก็กลับไปเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จแล้วก็สอบ แล้วก็จบเมื่อปี 1975

1 2