อายุ 3-4 ปี
คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้า ถุงเท้าและรองเท้า ซึ่งควรเตรียมเสื้อผ้าที่เบาสบายใส่ง่าย อย่าซื้อเสื้อผ้าที่เล็กไปหรือสวมใส่ลำบาก เพราะไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีต่อการฝึกฝน ยังจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ และจะให้เด็กรู้สึกพ่ายแพ้กับการใส่หรือถอดเสื้อผ้าของตนเอง
ฝึกให้ลูกใช้ห้องน้ำให้ดีขึ้น ฝึกความเคยชินเรื่องล้างมือก่อนกินข้าวและหลังเข้าห้องน้ำ, ฝึกให้ลูกจัดโต๊ะอาหารและเก้าอี้, ให้อาหารสัตว์เลี้ยง, ก่อนนอนช่วยหยิบหมอนผ้าห่ม, หลังทานอาหารรู้จักนำจานไปวางในอ่างล้างจาน, ช่วยพับผ้าที่ซักสะอาดแล้วกลับใส่ตู้ และนำเสื้อผ้าที่สกปรกไปวางในตะกร้าที่จะซัก
อายุ 4-5 ปี
ฝึกให้ลูกรู้จักเตรียมที่นอน เตรียมโต๊ะก่อนกินอาหาร เช่น ช่วยวางช้อนและจาน เป็นต้น, ทำความสะอาดโต๊ะหลังอาหารและนำจานช้อนที่ทานไปไว้ในครัว, พับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว ซึ่งผู้ปกครองควรสอนลูกวิธีพับเก็บเสื้อผ้าที่แตกต่างกันอย่างถูกต้อง, เตรียมเสื้อผ้าสำหรับวันถัดไป, แขวนผ้าขนหนู วางแปรงสีฟันที่ตนเองใช้เก็บให้เรียบร้อย
อายุ 5-6 ปี
ช่วยเช็ดโต๊ะและเปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เริ่มต้นจากช่วยเก็บผ้าที่สกปรกออกไปและนำผืนใหม่ที่สะอาดมาให้), เตรียมกระเป๋านักเรียนและรองเท้าสำหรับวันถัดไป, ช่วยรักษาความสะอาดห้อง ด้วยการสร้างนิสัยที่เก็บของที่วางเกะกะ และนำกลับไปวางที่เดิม
อายุ 7-12 ปี
ช่วยล้างจานภายใต้ความช่วยเหลือของคุณพ่อคุณแม่, ช่วยทำอาหารที่ง่ายๆ, เช็ดพื้น, ทำความสะอาดห้องน้ำ, ใช้เครื่องซักผ้าได้, นำขยะไปทิ้งในถังขยะเขตชุมนุมที่พัก
อายุ 13 ปีขึ้นไป
เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า, เปลี่ยนถุงขยะในเครื่องดูดฝุ่น, ล้างตู้เย็น, เช็ดเตา ฯลฯ ทำอาหารได้ เขียนรายการของก่อนไปซื้อ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่บางท่านที่ชอบใช้รางวัลเป็นวิธีการให้กำลังใจกับลูกที่ทำงานบ้านนั้น อย่างเช่น มีผู้ปกครองหลายคนใช้เงินเป็นรางวัลให้ลูกทำงานบ้าน ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีการถกเถียงกันอย่างมาก เพราะว่าหากใช้มากเกินไป ก็จะให้เด็กมีความรู้สึกว่าเขาทำงานบ้านก็เพื่อเงินเท่านั้น แต่ละเลยความรับผิดชอบ
ต่างประเทศก็มีผู้ปกครองหลายคนใช้วิธีให้รางวัลกับลูกที่ทำ หรือลงโทษลูกไม่ให้เล่นเกม เพื่อเป็นเงื่อนไขควบคุมเด็ก ซึ่งต้องดูความเหมาะสมเป็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น ลูกทำได้ดีในสัปดาห์นี้ จะให้รางวัลพาไปว่ายน้ำในวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นต้น
มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “ใจร้ายเป็นพิเศษ รักเป็นพิเศษ” กล่าวว่า ความรักที่คุณพ่อคุณแม่ชาวจีนมอบให้ลูกนั้น ไม่ใช่น้อยเกินไป แต่เป็นมากเกินไป เพราะอดทนไม่ได้ที่จะให้ลูกต้องประสบกับความยากลำบากของชีวิตตั้งแต่เด็ก และก็ไม่รู้ถึงเวลาที่เหมาะสมในการขอจากลูก ทำให้ลูกๆ ของพวกเขากลับมีความยากลำบากไปทั้งชีวิต และต้องขอทุกสิ่งทุกอย่างจากพ่อแม่ตลอดชีวิตแทน
การคุ้มครองและความรักที่มากเกินไปของผู้ปกครอง ไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกมีความเฉื่อยชาและไม่รู้จักพึ่งพาตนเอง ยังจะทำลายชีวิตและอนาคตของลูกได้ด้วย!
คุณผู้ฟังคะ ถ้าคุณรักลูก ก็ควรปล่อยให้เขาทำงานบ้าน มีแต่ผู้ปกครองเรียนรู้ที่จะปล่อยมือ จึงจะสามารถทำให้ลูกบินได้สูงขึ้นและไปได้ไกล!
Yim/kt