เมื่อเร็วๆ นี้ นายสวี่ หนิงหนิง รองเลขาธิการประจำฝ่ายจีนของคณะมนตรีธุรกิจจีน-อาเซียนกล่าวว่า ยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนในปี 2012 สร้างสถิติสูงสุดอีกครั้ง ทะลุ 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก สถิติแสดงให้เห็นว่า ยอดมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเพิ่มจาก 54,767 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2002 ขึ้นเป็น 362,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2011 เติบโตขึ้น 5.6 เท่า โดยมีอัตราเติบโตมากกว่า 20% ปัจจุบัน จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับแรกของอาเซียน และอาเซียนก็แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของจีน
ในช่วง 10 ปีมานี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับการพัฒนาด้วยดี ประเทศต่างๆ มีความร่วมมือในการพยายามสร้างโอกาสทางการค้ามากยิ่งขึ้น โดยเมื่อปี 2010 เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ จากนั้นได้เร่งฝีก้าวจนล้ำหน้าเขตการค้าเสรีใหญ่ในเขตอื่นๆ
ขณะนี้การฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกยังอ่อนกำลังอยู่ และวิกฤตินี้ส่งผลกระทบในเชิงลึกอยู่ แต่ในทางกลับกันเอเชียตะวันออกและอาเซียนกำลังขยายการเปิดประเทศและความร่วมมือ เร่งให้เศรษฐกิจภูมิภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้เผชิญหน้ากับความยากลำบาก แต่ความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียนได้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคงของภูมิภาค
นายสวี่ หนิงหนิงเห็นว่า อันที่จริง ความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียนก็เพื่อร่วมกันรับมือกับการท้าทาย ซึ่งพัฒนาขึ้นบนแนวคิดพื้นฐานที่ว่าสามารถได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยจีนกับอาเซียนคำนึงเสมอว่ามีแต่ความร่วมมือเท่านั้นจึงจะบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันได้
นายสวี่ หนิงหนิงวิเคราะห์ว่า ประการแรก เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนในฐานะเป็นเขตการค้าเสรีที่จีนก่อตั้งขึ้นกับต่างประเทศแห่งแรก มีความได้เปรียบเป็นอย่างมาก ประการที่สอง จีนกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนต่างมีเอกลักษณ์เฉาพะตนในด้านทรัพยาการ โครงสร้างอุตสาหกรรม และการค้า ซึ่งมีความเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก รวมถึงมีศักยภาพความร่วมมืออันใหญ่หลวง นอกจากนี้ จีนกับอาเซียนยังมีความได้เปรียบทางภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ ในมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนต่างๆ เช่น เขตปกครองตนเองชนเผ่าจ้วงกวางสี และมณฑลยูนนานซึ่งติดกับประเทศอาเซียน จึงมีความเกื้อกูลทางการค้ากันมาก ซึ่งได้ส่งเสริมการส่งออกของมณฑลเหล่านี้ได้
(Ton/zheng)