พัลลภ สามสี // จีนปริทรรศน์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตั้งใจแวะไปเดินเล่นดูโปรแกรมภาพยนตร์ไทยๆ ใหม่ที่เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ว่ามีเรื่องไหนน่าสนใจบ้าง เพราะห่างหายจะการชมและอุดหนุนภาพยนตร์ไทยในโรงไปค่อยข้างนาน แต่เมื่อตรวจดูรายชื่อแล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะใกล้ตรุษจีนอย่างนี้ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศต่างมาจ่อเข้าฉายกันแน่นขนัด ชนิดแทบไม่มีพื้นที่พอให้งานของคนไทยตัวน้อยๆ ได้เปิดตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นมีภาพยนตร์จีนดังที่สร้างรายได้มหาศาลกว่า 5,000 ล้านบาท ในชื่อไทยว่า "แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์" หรือที่ชาวจีนรู้จักกันดีในชื่อ "ไท่จง" นั่นเอง
ก่อนหน้านี้เคยซาวนด์เสียงจากคนรู้จักจำนวนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าทุกคนมีความตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะสื่อทั้งเมืองไทยเมืองนอกต่างตีข่าวอย่างใหญ่โตและต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อีกทั้งยอดขายบัตรเข้าชมที่ถล่มทลายประวัติศาสตร์จีน เลยยิ่งทำให้ทุกคนต่างคาดหวังที่จะได้เห็นกับตาตัวเองว่าเรื่องราวจริงๆ จะเป็นเช่นไร
เมื่อไม่มีโปรแกรมอะไรที่จูงใจพอให้หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าบัตร จึงตัดสินใจไปเดินเล่นร้านหนังสือ ทั้งเพื่อฆ่าเวลาและเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงของตลาดหนังสือเมืองไทยที่ตัวเองเคยยุ่งขิงอยู่ด้วยมานานหลายปี
ยามใดที่มีโอกาสหลุดเข้าไปในสวนหนังสือเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก ร้านใหญ่ หรือร้านสาขาแฟรนไชด์ก็ตาม เวลา ณ ที่แห่งนั้นมักเดินอย่างเชื่องช้าเสมอ
สุดท้ายได้นิตยสาร Postcard ฉบับครบรอบ 3 ขวบติดมืออกมา เพราะชอบใจตรงที่มีแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแบบสั้นๆ มากมายหลายแห่งให้ได้ไปเช็กพ้อตย์หรือตามเก็บที่ไม่ควรพลาด แถมยังมีไปรษณียบัตรพิเศษแนบมาให้ด้วยอีก 1 โหล เพื่อส่งให้คนที่เราคิดถึงระหว่างการเดินทาง
ระหว่างที่พยายามเดินหลบผู้คนจำนวนมากที่อออยู่ตีนบันไดเลื่อนที่ติดกับเวทีกลางของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ เพื่อเล็ดลอดออกไปยังร้านกาแฟที่เงียบสงบสักแห่งนั้น ก็มีเสียงเรียกอันคุ้นหูดังมาจากเบื้องขวาซึ่งเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมเปิดตัวสินค้าชนิดหนึ่งอยู่
รูป A
พอหันไปเห็นก็ถึงกับร้องเฮ้ย เพราะคนที่เรียกเมื่อสักครู่คือ "คุณสุดรัก สุวรรณชัยรบ" ผู้เคยมานั่งให้สัมภาษณ์ที่ห้องส่งสถานีวิทยุซีอาร์ไอ ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสักปีเศษๆ ที่ผ่านมา และไม่นึกฝันว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญในเมืองหลวงที่แออัดไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติอย่างกรุงเทพมหานครแห่งนี้
หลังจากสวัสดีทักทายแล้ว ก็เลยถูกเชิญให้นั่งดูการเปิดตัวสินค้าชิ้นแรกที่บริษัทคุณสุดรักเข้ามารับงานแบบเต็มตัว จึงทำให้รู้ว่าที่คนมุงๆ กันอยู่นี้ เพราะมีดาราดังอย่าง "คริส หอวัง" เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ มี"ชาคริต แย้มนาม" เป็นพิธีกร มี "วงลิปตา" มาสร้างความบันเทิง และ "แทค ภรัณยู" มาเพิ่มสีสันให้กับงานเป็นกันเองมาขึ้น
นักแสดงเหล่านี้ดูเป็นธรรมชาติเวลายืนอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก ไม่รู้สึกว่าพวกเขามีความเคอะเขิน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา และมีความเป็นกันเองมาก น้ำเสียงเวลาสนทนากันก็ดูราบลื่น ไม่มีอาการสั่นจากความตระหนก หรือตื่นเวทีให้เห็น ผิดกับสาวพริตตี้ที่เป็นพิธีกรภาคสนามที่กรอกเสียงใส่ไมโครโฟนรุนแรงราวกับร้องเพลงร็อกเมทัล ด้วยเพราะไม่มีความเจนเวทีเท่า และไม่มีความเป็นมืออาชีพเหมือนคนที่เป็นดาราบนเวทีเหล่านั้น
นอกจากนี้แล้วยังรู้สึกว่าทุกคนทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กระดาษซึ่งเป็นบทพูดที่อยู่ในมือของพิธีกร จึงเป็นเสมือนยันต์กันเหนียวเท่านั้น เพราะแทบไม่ถูกเปิดอ่านให้บรรยากาศการสนทนาบนเวทีสะดุดไปแต่อย่างใด
เมื่อหันซ้ายแลขวามองดู ก็จะเห็นว่าผู้ที่มาร่วมงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือแขกเหรื่ออื่นทั่วไป ทุกคนจะมีรอยยิ้มสว่างไสวอยู่บนใบหน้าขณะที่มองตาไม่กระพริบ ปรบมือ และหัวเราะร่วมเสียงใสไปกับความเคลื่อนไหวบนเวที ขณะที่เหล่าบรรดาแฟนคลับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด พร้อมยกป้ายชื่อของดาราที่กลุ่มตนเองสนับสนุนไปด้วย
ส่วนตัวเองนั้น เนื่องจากไม่คุ้นกับแวดวงบันเทิงมากนัก ตอนแรกก็ยังรู้สึกแปลกกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคนที่ชื่นชอบดาราเช่นนี้ จะยิ้มจะหัวไปตามคนอื่นก็ยังรู้สึกขัดเขิน จนเมื่อรับรู้ได้ถึงความตั้งใจทำให้คนดูมีความสุขสนุกสนานของบรรดาดาราบนเวที จึงค่อยยิ้มแย้มตามไปด้วย จนในที่สุดก็ระเบิดเสียงหัวเราะกลั้วไปกับคนอื่น ในตอนที่ดาราทั้งหลายสอดแทรกมุขตลกออกมา
รูป B
ขณะที่นั่งฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น ก็นึกคำหนึ่งขึ้นมาได้ว่า "ผู้มีหน้าที่สร้างความสุข" ซึ่งสามารถบรรยายถึงลักษณะอาชีพของดารานักแสดงได้เป็นอย่างดี
เพราะคนเหล่านี้สามารถตรึงให้ผู้คนนั่งจ้องหน้าจอภาพยนตร์ต่อเนื่องกันได้ 1 – 2 ชั่วโมง โดยไม่ลุกไปไหน หรือทำให้ทุกคนต้องรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่อให้มาทันนั่งเอกเขนกบนโซฟาติดตามละครตอนต่อจากเมื่อวานอย่างใจจดใจจ่อ หรือหลงใหลไปกับสินค้าที่เขาและเธอเป็นผู้ช่วยโฆษณาให้สินค้านั้นๆ น่าสนใจ
อย่างงานนี้ก็เช่นกัน ทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นการเปิดตัวและโฆษณาสินค้า แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายการค้า กลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งอีกต่างหาก เสียงที่สาวพริตตี้สัมภาษณ์คนมาร่วมงานหลายคนก็บอกว่า รู้จักสินค้านี้ก็เพราะว่า "คริส หอวัง" เป็นพรีเซนเตอร์ ชอบและเชื่อว่าเมื่อรับประทานขนมขบเคี้ยวยี่ห้อนี้แล้วจะสวยและหุ่นดีเหมือนดาราในดวงใจ
ฟังดูแล้วก็รู้สึกได้ว่า นี่เป็นความสุขที่ได้มาเท่าๆ กัน ทั้งคนโฆษณา คนรับสาร(ผู้บริโภค) ดารา คนทำโฆษณา และคนดูที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดภายในงานด้วย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นต้องยกให้ "ดารา" ผู้ที่มีหน้าที่สร้างความสุขให้กับผู้อื่นทั้งหลาย ที่ทำให้ทุกอย่างผสมผสานความกลืนกันจนไร้รอยต่อ
รูป C
เพราะเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความสุขซะอย่างแล้ว อะไรก็ง่ายและดูดีตามไปด้วยทั้งนั้น
ผมเองแทนที่จะได้ดูภาพยนตร์โปรดสักเรื่อง แต่กลับได้มานั่งดูดาราตัวเป็นๆ พูดและทำกิจกรรมบนเวทีเช่นนี้ ก็พลอยมีความสุขไปด้วย บ่ายวันหยุดอาทิตย์สุดท้ายก่อนกลับไปทำงานจึงสดใสคุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ
งานนี้ต้องขอบคุณเพื่อนรุ่นพี่ที่มาเรียกให้หันไปพบกับความสุขโดยบังเอิญครั้งนี้