ในยุคที่โลกของการเดินทางไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอีกต่อไป ชาวจีน นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยกิจการท่องเที่ยวของจีน รายงานผลสำรวจความคิดเห็นการเตรียมวางแผนท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้พบว่า ชาวจีนวางแผนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมีจำนวนมากกว่าคนที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในต่างมณฑล เป็นครั้งแรก มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 7 โดย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย สหรัฐฯ ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ แคนาดา ตลอดจนฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวันเป็นสถานที่ซึ่งชาวจีนนิยมไปท่องเที่ยวมากที่สุด
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น เมืองซานย่า กรุงปักกิ่ง เมืองหางโจว นครเซี่ยงไฮ้ มณฑยูนนานและภาคตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นสถานที่ชาวจีนนิยมที่สุด
คาดกันว่า ตรุษจีนปีนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวเฉพาะในเทศกาลตรุษจีนจะมากกว่า 200 ล้านคน (ทั้งในและต่างประเทศ)
ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีนบอกไว้ว่า เมื่อปี 2555 ชาวจีนไปเที่ยวต่างประเทศประมาณ 80 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 และเชื่อว่าภายในปี 2563 จะมีจำนวนเกิน 100 ล้านคน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณคนละ 3,824 ดอลล่าร์สหรัฐ ต่อครั้ง ในขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใช้เงินเฉลี่ยประมาณ 2,390 ดอลล่าร์สหรัฐ
อีกทั้งมีรายงานว่าชาวจีนเป็นนักช็อปปิ้งตัวยง เป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ นอกเหนือจากการกินใช้ประจำวันและค่าเดินทาง ที่พัก จิปาถะแล้ว สินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา เครื่องประดับ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมในการไปซื้อจากต้นแหล่งผลิต ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการคือ
ประการแรก ซื้อของแบรนด์เนมจากต่างประเทศ หลายอย่างราคาถูกกว่า ซื้อจากในจีน เนื่องจากรัฐบาลจีนเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ในอัตราสูง
ประการที่สอง ไปซื้อของเมืองนอกโดยตรง มั่นใจได้ว่าไม่เจอของก็อปปี้ หรือทำเลียนแบบให้ช้ำใจเล่น (สินค้าลอกเลียนแบบในจีน มีการแบ่งเกรดเป็นหลายระดับ ดีมากก็ใกล้เคียงและเหมือนของจริงมากที่สุดด้วย) และส่วนหนึ่งก็เป็นการยกระดับหรือแสดงฐานะความมั่งมีของผู้ซื้อ
แหล่งที่คนจีนมักจะไปช็อปปิ้งสินค้าเหล่านี้ ได้แก่ ฮ่องกง ยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์
สำหรับในเมืองไทย นักท่องเที่ยวชาวจีน มีจำนวนมากเป็นอันดับแรก ในปี 2555 จำนวน 2.8 ล้านคน ขณะที่นักท่องเที่ยวมาเลเซีย เป็นลำดับสองคือ 2.6 ล้านคน
ปี 2556 ตอนแรกประเมินว่าน่าจะถึง 4 ล้านคน เพราะยอดกลางปี เฉียด2 ล้าน แต่เฉพาะแค่ 10 เดือนแรกถึงตุลาคม ก็มีชาวจีนไปเที่ยวเมืองไทยแล้ว ประมาณ 4 ล้านคน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์วิกฤติทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงท้ายปี ต่อเนื่องถึงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ด้วย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไปเมืองไทยลดลงมาก
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า เฉพาะตรุษจีนปี 2014 นี้ ชาวจีนที่สมัครทัวร์ไปเที่ยวต่างแดนก็มีมากถึง 4 ล้าน 7 แสน 2 หมื่น 5 พันคน ขยายตัว 18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว โดยหลายประเทศให้ความสำคัญกับตลาดชาวจีนที่กำลังเติบโตมากขึ้น จึงมีบริการและอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นแก่นักท่องเที่ยว เช่น การออกวีซ่า แคนาดาได้ลดค่าธรรมเนียมออกวีซ่าให้คนจีนเท่านั้น และอนุญาตให้คนจีนเดินทางหลายรอบในการออกวีซ่าครั้งเดียวนาน 10 ปีเป็นต้น
สำหรับเป้าหมายการท่องเที่ยวต่างประเทศ เกาะใหญ่น้อยที่มีทิวทัศน์สวยงามยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจีน เกาะยอดนิยมได้แก่ เกาะภูเก็ต ประเทศไทย เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เกาะเซจู ในเกาหลีใต้ และเกาะโบราเคย์ ในฟิลิปปินส์ ตามลำดับ
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงรักษาความสงบภายในของจีนประกาศอย่างเป็นทางการว่า จำนวนประเทศที่ลงนามสัญญายกเว้นวีซ่าให้จีนได้เพิ่มมากถึง 45 ประเทศ
นอกจากนี้ 6 ประเทศและภูมิภาค เช่น เฮติ และเขตเซจูของเกาหลีใต้เริ่มใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าให้พลเมืองจีนแล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆยังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขทำวีซ่าเช่นเดิม ส่วนอีก 35 ประเทศและภูมิภาค เช่น มัลดีฟส์ เวียดนาม ฯลฯ อนุญาตให้พลเมืองจีนที่มีคุณสมบัติสอดคล้องเงื่อนไขสามารถทำวีซ่าได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ล่าสุดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำเมืองคุนหมิงประกาศว่า นักท่องเที่ยวจีนจะขอรับวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้แล้ว โดยเพียงเตรียมรูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป หนังสือรับรองสถานะการเงินตัวจริงที่เป็นปัจจุบัน ตั๋วเครื่องบินขากลับ และหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุ
จะเห็นได้ว่า กำลังซื้ออันมหาศาลจากจำนวนของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เติบโตขึ้น อย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายประเทศ ปรับกลยุทธและอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับคนกลุ่มนี้มากขึ้น
ไชน่าเดลี่ รายงานว่าสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว หรือจีบีทีเอ (Global Business Travel Association - GBTA) ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลการศึกษาแนวโน้มตลาดการท่องเที่ยวโลก ผ่าน "รายงานประจำปี ฉบับ พ.ศ.2556" ระบุว่า จีนจะกลายเป็น ผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนตลาดการท่องเที่ยวของโลก ภายในปี 2559 แทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งด้านการท่องเที่ยวในขณะนี้
ในตอนหน้า มาติดตามกันว่า รูปแบบการท่องเที่ยวของชาวจีน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และมาดูกันว่า มีเงื่อนไขปัจจัยอะไรที่เอื้อให้ชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้มากขึ้น
ภาพประกอบจาก www..xinhuanet.com
www.chinadaily.com.cn
โสภิต หวังวิวัฒนา เรียบเรียง
2014-02-14