ประการที่ 6 ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่แม้จะเพียงมวนเดียว ก็จะมีสารเคมีสูงถึงกว่า 4,000 ชนิด ในนั้นมีมากกว่า 40 ชนิดเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ในจำนวนผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากโรคมะเร็งปอด ผู้ที่สูบบุหรี่มีสัดส่วนเป็น 16 เท่าของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ การไม่สูบบุหรี่ ไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพของตัวเองเท่านั้น หากยังเป็นความห่วงใยต่อครอบครัวของตนด้วย เพราะว่าการเป็นผู้สูบบุหรี่มือ 2 ยิ่งได้รับพิษมากกว่าผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า ควันบุหรี่มือ 2 นี้เป็นวัตถุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งร้ายแรงที่สุด

ในทุกครอบครัว เด็กๆ มักจะเป็นผู้เสียหายจากควันบุหรี่มือ 2 ในจำนวนทารกที่เสียชีวิตอย่างกะทะหันนั้นมีหนึ่งในสี่เสียชีวิตเพราะพ่อแม่สูบบุหรี่ ทำให้ทารกได้สูดควันบุหรี่เข้าไปด้วย และเพราะการสูดรับควันบุหรี่จะเพิ่มจำนวนครั้งของการหอบของทารก ทำให้อาการหนักขึ้น

ประการที่ 7 ไม่ดูโทรทัศน์ขณะรับประทานอาหาร นักวิจัยได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเคยชินในการดูทีวีกับโรคอ้วนของเด็กได้พบว่า เมื่อเด็กๆ ดูทีวีขณะรับประทานอาหาร จะนำไปสู่โรคอ้วน แล้วยังจะเพิ่มเวลาการดูทีวีสูงถึง 70 นาที

ฉะนั้น ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กๆ เมื่อรับประทานอาหาร สิ่งที่ควรทำก็คือปิดทีวี แล้วตั้งใจรับประทานอาหาร

ประการที่ 8 อย่าหมกมุนอยู่กับงนมากเกินไป ถ้ามัวทำแต่งาน นานเข้าจะทำให้เกิดความล้าทางกายและใจ สิ่งที่ควรทำก็คือนอกจากทำงานอย่างขยันขันแข็งแล้ว ก็ควรรู้จักผ่อนคลายอารมณ์ด้วย

ข้อเสนอแนะก็คือลองหาเรื่องตลกขำขัน หรือเนื้อหาเบาๆ พักสมองอ่าน พยายามให้ตัวเองหัวเราะได้หลายครั้งในทุกวัน นอกจากนี้แล้วก็ลองทำสิ่งที่ตัวเองสนใจนอกจากการทำงาน ถ้ามัวแต่ทำงาน จะทำให้ชีวิตเบื่อและอารมณ์เสียหลุดหงิดง่าย

ประการที่ 9 ไม่ว่ายุ่งอย่างไรก็ต้องหาเวลาคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจสหรัฐฯ ได้ดำเนินการวิจัยหลายสิบปีแล้วพบว่า ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมทางใจที่มีต่อกันจะสามารถป้องกันหรือช่วยรักษาอาการป่วยจากโรคหัวใจได้ แม้กระทั่งสามารถช่วยให้เกิดแรงต่อสู้ที่เข้มแข็งทางชีวิตได้

ไม่ว่ามีชีวิตรูปแบบใดก็ตาม สำหรับแต่ละคน ล้วนต้องมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ซึ่งสามารถเปิดใจและเล่าสุขทุกข์ได้ ฉะนั้น ไม่ว่ามีงานยุ่งแค่ไหน ก็ควรหาเวลาคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ สร้างความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกัน

ประการสุดท้าย นอนหลับฝันดี ไม่ใช่ว่านอนเป็นเวลานานก็หมายความว่านอนหลับฝันดี นักวิทยาศาสตร์พบว่า การนอนเวลานานเกินไปก็มีผลเสียเช่นเดียวกับการนอนไม่เพียงพอ ล้วนไม่ดีต่อสุขภาพ ระยะเวลานอนจะไม่เหมือนกันสำหรับคนแต่ละวัย ทารกแรกเกิดต้องนอน 20 ชั่วโมง ทารกต้องนอน 14-15 ชั่วโมง เด็กก่อนวัยเรียนต้องนอน 12 ชั่วโมง นักเรียนประถมต้องนอน 10 ชั่วโมง นักเรียนมัธยมต้องนอน 9 ชั่วโมง นักศึกษาและผู้ใหญ่ต้องนอน 8 ชั่วโมง และคนชราต้องนอน 6-7 ชั่วโมง

แล้วเวลาเข้านอนกับเวลาตื่นนอนก็เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับสุขภาพ เวลาเข้านอนที่ดีที่สุดคือช่วงเวลา 22.00 น.-23.00 น. แล้วเวลาตื่นนอนที่ดีที่สุดคือช่วงเวลา 06.00 น.-07.00 น. การอดหลับอดนอนกับการไม่ยอมตื่นนั้นล้วนเป็นความเคยชินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ