เนื่องจากวันศุกร์ที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมาเป็นวันนอนหลับโลก ซึ่งผลสำรวจเกี่ยวกับการนอนหลับของคนจีนทั่วประเทศประจำปีนี้ปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยในการนอนหลับของประชากรจีนอยู่ที่ 66.5 โดยภาพรวมแล้วถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้น เพราะเพิ่มขึ้นจากปี 2013 แม้จะเล็กน้อยแต่ก็แสดงว่า ชาวจีนเริ่มมีการนอนหลับที่ดีเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับหรือหลับไม่พอด้วย เพราะยังผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 36.2

ทั้งนี้ จากการทำสำรวจใน 40 เมืองพบว่า ดัชนีการนอนหลับแปรผกผันกับระดับความเป็นเมืองที่สูงขึ้น โดยเมืองระดับสามของจีนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 61.4 แต่เมืองระดับหนึ่งกลับเป็นเพียง 60.3 ซึ่งคนชนบทและเมืองเล็กๆ ล้วนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า 70 แต่คนเมืองกลับได้คะแนนเพียง 61.6

โดยคนเซี่ยงไฮ้มีเวลานอนหลับน้อยที่สุด ส่วนสื่อมวลชนเป็นอาชีพที่นอนหลับได้แย่ที่สุด ซึ่งผู้ให้สำรวจกว่าครึ่งระบุว่า ปัญหาการนอนหลับมาจากแรงกดดันในการทำงาน รวมถึงหน้าที่เรื่องงานบ้าน ดูแลลูกและผู้สูงอายุ ล้วนเป็นสาเหตุที่บั่นทอนคุณภาพและเวลานอน

สาเหตุสำคัญอีกอย่างที่ผู้ให้สำรวจส่วนหนึ่งนอนไม่พอนั้น คือ ไม่อาจตัดใจเข้านอนได้ เพราะหลายคนรู้สึกว่าตอนกลางวันต้องออกไปทำงาน พอเลิกงานกลับมาบ้าน ยังมีเรื่องจิปาถะให้ทำอีกกว่าจะเรียบร้อยก็สมควรแก่เวลาเข้านอนแล้ว แต่หลายคนแม้จะเหนื่อยเพลียอย่างไรก็ยังฝืนไม่อยากจะเข้านอน โดยเกือบร้อยละ 60 ของผู้ให้สำรวจระบุว่าแม้จะขึ้นเตียงแล้ว แต่ยังไม่ยอมหลับตานอน การอ่านหนังสือและดูโทรทัศน์ ยังคงเป็นกิจกรรมที่อดไม่ได้ต้องทำก่อนนอน เพราะรู้สึกว่าเป็นการผ่อนคลาย

ที่สำคัญปัจจุบันโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ได้กลายเป็นเพื่อนนอนสำคัญของคนจีนไปแล้วด้วย ซึ่งผลสำรวจระบุว่า เฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาอย่างน้อย 29 นาที และมีร้อยละ 13.4 ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงถึงจะยอมวางแล้วหลับตานอน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ปกครองของเด็กวัยเรียนร้อยละ 87.1 เห็นว่าลูกหลานนอนไม่พอ เนื่องมาจากต้องทำการบ้าน และเวลาเข้าเรียนที่เช้ามาก ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เบียดบังเวลานอนของเด็ก

เก่าเล่าไปใหม่บอกมา โดย วังฟ้า 羅勇府