หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้ารายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจจีน-อาเซียนครั้งที่ 13 ได้ประกาศแถลงการณ์ร่วมที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ว่า จีนและอาเซียนจะเริ่มเจรจาเพื่อยกระดับเขตการค้าเสรีจีนและอาเซียน ให้สูงขึ้น นักวิเคราะห์เห็นว่า ปี 2014 เป็นปีแรกแห่งทศวรรษที่สองที่จีนและอาเซียนสร้างความสัมพันธ์หุ้น ส่วนทางยุทธศาสตร์ ส่วนปี 2015 เป็นปีแรกที่อาเซียนจะรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จีนและอาเซียนจะต้องยกระดับเขตการค้าเสรีระหว่างกันให้สูงขึ้น เพื่อเป็นหัวรถจักรหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
กระบวนการสร้างเขตการค้าเสรีจีนและอาเซียนเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนปี 2002 และได้เสร็จสิ้นในเดือนมกราคมปี 2010 หลังจากนั้น สินค้านำเข้าและส่งออกของจีนและอาเซียนมีกว่า 90% ที่ได้รับสิทธิ์ลดภาษีเป็นศูนย์ภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีจีนและอาเซียน ซึ่งทำให้การค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายพัฒนาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในปี 2013 สูงถึง 443,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน อาเซียนได้กลายเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับ 3 ตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 4 และแหล่งนำเข้าสินค้าใหญ่อันดับ 2 ของจีนติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ขณะที่จีนได้กลายเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของอาเซียนต่อเนื่องกัน 4 ปี
นายหวาง ผิง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเศรษฐกิจจีน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวว่า ช่วง 10 ปีนับตั้งแต่จีนและอาเซียนลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีเป็นต้นมา สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ หลวง โดยเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปชะลอตัวหรือถดถอยอย่างต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนกลับมีอัตราเติบโตมาก กว่า 5% ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีอัตราเติบโตมากกว่า 7% การลงทุนต่อกันระหว่างจีนและอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีนและอาเซียนกลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของ ภูมิภาค นอกจากนี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นปี 2015 หลังจากนั้น ประเทศอาเซียนจะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวทางเศรษฐกิจ โดยจะมีตลาดและฐานการผลิตที่เป็นหนึ่งเดียว สินค้า บริการ แรงงาน และเงินทุนจะสามารถหมุนเวียนได้อย่างเสรีภายในกลุ่มประเทศอาเซียน
นายหวาง ผิง ยังกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในขณะนี้ จีนและอาเซียนต้องยกระดับเขตการค้าเสรีระหว่างกันให้สูงขึ้น ต้อง ปรับปรุงข้อตกลงการค้าการลงทุนระหว่างให้มีความสมบูรณ์ขึ้น ลดกำแพงภาษี หรือที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าที่มีความอ่อนไหวและบริการ ลดหรืองดเงื่อนไขที่มีต่อการลงทุนระหว่างกัน เป็นต้น (YIN/cai)