สำนักข่าวแห่งประเทศจีนรายงานว่า วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ในที่ประชุมผู้นำอุสาหกรรมและพาณิชย์เอเปค ปี 2014 ผู้นำ 4 ประเทศรอบข้างเอเปคจัดการอภิปรายเกี่ยวกับโครงการแถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 หรือโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ตลอดจนการเชื่อมโยงภูมิภาค โดยมีความเห็นตรงกันว่า ภายใต้ภูมิหลังกระแสโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงภูมิภาคนั้นจะสร้างโอกาสใหม่แก่การเติบโตและความร่วมมือในภูมิภาค
ในฐานะเป็นประเทศสมาชิกสำคัญของอาเซียน เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชาได้มีการเชื่อมโยงและร่วมมือที่ค่อนข้างดีแล้ว สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า ควรพัฒนาการเชื่อมโยงต่อกันด้านพลังงาน การขนส่ง และโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียนและเอเปคอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนกล่าวที่กรุงปักกิ่งว่า การสร้างสรรค์แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 กับการเชื่อมโยงภูมิภาคนั้นมีความผสมผสานกันด้วยดี จีนจะจัดสรรงบประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อจัดตั้งกองทุนเส้นทางสายใหม และจะส่งเสริมการเชื่อมโยงภูมิภาคให้ต่อเนื่องกันต่อไป
"1 แถบ 1 เส้นทาง" นั้นนับเป็นกลไกความร่วมมือแบบใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาของเอเชีย ส่วนโครงการสร้างสรรค์ช่องทางเศรษฐกิจ เขตการค้าเสรี และนิคมเศรษฐกิจ เป็นต้น นับเป็นการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมในความร่วมมือดังกล่าว
ประธานาธิบดีบังคลาเทศเห็นว่า ต้องถือโอกาสดีเช่นนี้ ส่งเสริมการค้าและการเชื่อมโยงระหว่างบังคลาเทศกับจีน ผลักดันการสร้างสรรค์ช่องทางเศรษฐกิจบังคลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมาร์ และเสริมความร่วมมือกับจีนในการรับมือกับปัญหาภูมิอากาศและบรรเทาสาธารณภัย
แม้ว่าบังคลาเทศ เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชายังไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของเอเปค แต่ผู้นำทั้ง 4 มีความเห็นตรงกันว่า การพัฒนาของเอเปคจะมีอิทธิพลต่อประเทศตนอย่างสูง จึงต้องเสริมความร่วมมือกับประเทศสมาชิกของเอเปคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น