พลันที่เห็นหน้า หลังไม่เจอกันเดือนหนึ่งเต็ม ๆ คุณไฉ้ เจี้ยนซิน เพื่อนคนจีนที่ติดตามสถานการณ์ทุกด้านในไทยโดยเฉพาะด้านการเมือง เขาสนใจเป็นพิเศษ จนเรียกได้ว่าเป็นคอการเมืองไทยคนหนึ่งก็ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสถานกาณ์การเมืองไทยในหลายประเด็นโดยเฉพาะที่ฮอตสุด ๆ ขณะนี้คือประเด็นที่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในรอบสัปดาห์นี้ มีวาระสำคัญคือเริ่มจากจะมีการพิจารณากระบวนการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภาและนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่รองประธานรัฐสภาออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 ในวันเดียวกัน วันรุ่งขึ้นจะมีการแถลงปิดสำนวนในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากกรณีการปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว วันถัดไปช่วงเช้าจะมีการลงมติถอดถอนทั้งในส่วนของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์และนายนิคม ไวยรัชพานิช ช่วงบ่ายจะมีการลงมติในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มุมมองของใครต่อใครในเรื่องนี้เป็นอย่างไร 23 คำถามและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร เขาเล่าอย่างออกรส ผลพวงจากการติดตามข่าวจากสื่อไทยอย่างต่อเนื่องยาวนานวันละหลายสื่อหลายช่องทาง เขาบอกว่าฟังทุกวันจะรู้เลยว่าค่ายนี้ คนนี้เชียร์พรรคการเมืองไหน แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไรเพราะรู้สึกว่าร่องรอยแห่งความขัดแย้งดูมันจะลึกชัดซะ แม้ว่า คสช.จะพยายามลบรอยร้าว ดูแล้วน่าเป็นห่วง หลายครั้งที่เขาวิจารณ์นักวิเคราะห์ข่าวจีนที่วิเคราะห์ข่าวเกี่ยวกับประเทศไทย เขาบอกหลายคนวิเคราะห์โดยประมวลข้อมูลจากข่าว ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วเอามาวิเคราะห์อย่างเมามันโดยไม่ศึกษาให้ลึกลงไปถึงรูปแบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมของไทย บางครั้งเขาก็นั่งฟังไปหัวเราะไปเพราะข้อมูลที่พูดมามันไม่ใช่ แสดงว่านักวิเคราะห์ไม่มีข้องมูลที่ลึกที่ชัดเกี่ยวกับไทย แล้วจะไปวิเคราะห์ให้ลึก ให้ชัด ให้ถูกต้องได้อย่างไร คนฟังก็เลยพลอยได้อะไรที่มันไม่ค่อยถูกต้อง ไม่ตุ้ย(ไม่ถูกต้อง) ไปด้วย แบบนี้ถือว่าไม่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
ฟังเขาพูดก็เลยนึกถึงเรื่องการเชื่อมต่อกันทุกด้านเป็นประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่ายภายใต้การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รู้จักและเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ซึ่งเป็นประเด็นที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเสนอในที่ประชุมสุดยอดเอเปกครั้งที่ 22 ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 การเชื่อมต่อที่ว่าจะสนิทแน่นแฟ้นไร้รอยต่อเมื่อทุกฝ่ายมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกัน ทั้งความรู้จักความเข้าใจในตนเอง ความรู้ความเข้าใจในอีกฝ่ายด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตรงกับสภาพความเป็นจริง ชัดเจน เป็นปัจจุบัน
ทุกวันนี้เรามีสื่อเยอะ หลากหลาย ทันสมัยใคร ๆ ก็เป็นนักข่าว นักคิด นักเขียน นักวิจารณ์ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะขึ้น แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ พวกชอบวิพากษ์วิจารณ์ประเภทเห็นอะไรปั๊ป ต่อมวิจารณ์ทำงานปุ๊ป เม้าท์กระจาย แป้นรัวกระเจิงระเริงละเลงกับอคติจนลืมข้อเท็จจริง สิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นความขัดแย้ง เข้าใจผิด เกาะไม่ติด เชื่อมไม่ต่อ อยู่ท่ามกลางความแตกแยก จะสุขได้อย่างไร