เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานนิทรรศการฉลองครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่อาคารรัฐสภาไทย โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นประธานในพิธีเปิดงานดังกล่าว นายหนิง ฟู่ขุย เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยได้มาร่วมงาน ก่อนพิธีเปิด มีการตีปิงปองระหว่างนายพรเพชรกับนายหนิง ฟุ่ขุย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดนิทรรศการประวัติความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อีกทั้งยังมีการสาธิตชงชา การแสดงดนตรีประจำชาติของไทยและจีนด้วย
นายพรเพชร กล่าวในงานว่า ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมปี1975 โดยตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันอย่างสม่ำเสมอทั้งในระดับพระราชวงศ์ รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 13 ของจีน ซึ่งเป็นผลของความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน รวมทั้งการเปิดใช้เส้นทางคมนาคมเชื่อมจีน-ลาว-ไทย และไทย-ลาว-เวียดนาม ขณะที่ด้านวัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยนกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งประเทศไทยยังมีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการฉลองครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศนี้จะสามารถนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างไทยและจีนสืบต่อไป
ด้านนายหนิง กล่าวว่า การที่เขาและนายพรเพชรได้เล่นปิงปองกันอย่างคึกคักสนุกสนานนั้นทำให้เขานึกถึงเมื่อปี 1972 ที่มีการจัดแข่งขันปิงปองเอเชียครั้งแรกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศไทยได้ส่งคณะนักกีฬาปิงปองไปร่วมการแข่งขันที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มพูน ความข้าใจระหว่างประชาชนจีนกับประชาชนไทย ทำให้ทั้งสองประเทศเพิ่มความใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจก็ได้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคมปี 1975 นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และนายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ได้ร่วมกันลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์จีน-ไทย จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และญาติที่ดีตั้งแต่โบราณกาล และตลอดระยะเวลา 40 ปี ตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นต้นมา ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งสองประเทศก็มีความจริงใจต่อกัน และเอื้อประโยชน์แก่กัน ได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนความร่วมมือฉันมิตรในทุกๆ ด้าน ความสัมพันธ์จีน-ไทยได้พัฒนาอย่างราบรื่น และครอบคลุมทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นแบบอย่างสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือที่เกื้อกูลกันระหว่างประเทศที่มีระบอบสังคมต่างกัน
นายหนิง ยังกล่าวอีกว่า ทางด้านการเมือง ทั้งสองประเทศเคารพซึ่งกันและกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน จีนได้สร้างยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือกับไทยทุกด้าน ผู้นำทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเสมือนไปเยี่ยมญาติ จีนและไทยมีความเข้าใจและสนับสนุนกันในประเด็นปัญหาทั้งทวิภาคีและพหุภาคี ได้ช่วยเหลือเกื้อกูล และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในยามเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทาย ส่วนทางด้านเศรษฐกิจ จีน-ไทยได้เอื้ออำนวยประโยชน์และพัฒนาก้าวหน้าด้วยกัน ปัจจุบันจีนและไทยกำลังมุ่งมั่นในการผลักดันความร่วมมือทางรถไฟ ซึ่งได้บรรลุความเห็นพ้องต้องกันหลายประการ ส่วนทางด้านสังคมและวัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การเรียนภาษาจีนกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
นายหนิง ฟู่ขุยยังกล่าวว่า เขาตระหนักว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้พัฒนามาทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้เป็นพระคุณที่พระบรมวงศานุวงศ์ไทยทรงเอาพระทัยใส่ เป็นผลที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ร่วมกันผลักดัน ปัจจุบัน ความสัมพันธ์จีน-ไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นใหม่แห่งประวัติศาสตร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เสนอให้ร่วมกันสร้างประชาคมเอเชียที่มีชะตาร่วม จันและไทยควรร่วมกันเดินตามกระแสของยุคสมัยอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ผลักดันความร่วมมือทางรถไฟและโครงการสำคัญอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างจริงจัง
นายหนิง ฟู่ขุย เอกอัครราชทูตจีน ยังกล่าวว่า ปัจจุบันคนจีนมีความชื่นชอบวัฒนธรรมไทยมาก เช่น ละคร และผลไม้ สังเกตได้จากการปรากฎตัวของผลไม้ไทยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศจีน นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย มาถึงต้องหาทุเรียนไทยกินก่อนเป็นอันดับแรก ไทยและจีนจึงควรร่วมมือกัน เร่งผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์เช่นการสร้างทางรถไฟ และความร่วมมืออื่นๆ