สหประชาชาติเรียกร้องให้ทุกประเทศพยายามลดอัตราคนยากจนในประเทศลงให้ได้ แต่ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ กลับมีประชากรยากจนเพิ่มมากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น อเมริกาประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมีคนจนอยู่ถึง 41 ล้านคน (12.7%ของจำนวนประชากร) เมื่อมาดูมาตรการที่ประเทศต่าง ๆ ใช้รับมือกับปัญหาคนจน แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ผลลัพธ์ที่ได้แทบไม่ต่างกันเลย คือเป็นการช่วยแบบแจกยาพาราฯให้กินแก้ปวดไปวัน ๆ คนที่มีเงื่อนไขไปรับแจกมักเป็นคนจนในเขตเมืองเสียส่วนใหญ่ คนจนจริง ๆ ที่อยู่ตามทุ่งหญ้าป่าเขาการคมนาคมไปไม่ถึง หรือเจ็บป่วยพิการเดินไม่ได้จะเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ การแก้จนแบบนี้เป็นการแก้แบบผักชีโรยหน้า คนจนไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปาก
วันนี้มาชวนไปดูวิธีแก้จนของจีนซึ่งเล่าลือกันนักว่าได้รับผลสำเร็จเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวโลก เรื่องนี้ต้องเริ่มจับความกันตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงประกาศปฎิรูปเปิดประเทศเมื่อ 30 ปีกว่าปีก่อน เขามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าการเปิดประเทศจะทำให้เศรษฐกิจจีนพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จึงประกาศอย่างมั่นใจว่า ต่อแต่นี้ไปชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดีจนถึงขั้นที่เทียบได้กับความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางในประเทศอื่น เขาเรียกของเขาว่า “สังคมพออยู่พอกิน” หรือ “เสี่ยวคังเซ่อฮุ่ย”
30 ปีหลังปฏิรูปเปิดประเทศ เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นทันตาจริง คนยากคนจนประมาณ 600 ล้านคนได้รับโอกาสใหม่ ๆ สลัดตัวออกจากความยากจนได้ ทำให้จีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศแรกในโลกที่มีประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศหลุดพ้นจากความยากจนตามเป้าหมายที่สหประชาชาติตั้งไว้ แต่ถึงอย่างไรคนจนก็ยังคงมีอยู่ไม่หมดไปจากประเทศ เมื่อสีจิ้นผิงขึ้นมาเป็นผู้นำครั้งแรกในปี 2013 จีนมีคนจนหลงเหลืออยู่อีกกว่า 80 ล้านคน (มาตรฐานวัดว่าเป็นคนจนคือมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่า 2800 หยวนต่อปี)
สีจิ้นผิงคาดการณ์ล่วงหน้าว่า การแก้ปัญหาคนจนส่วนที่เหลือจะไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคนจนในถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ แต่เพื่อความแน่ใจเขาได้ลงไปสำรวจสภาพความเป็นจริงด้วยตัวเองโดยเลือกมณฑลยากจนที่อยู่ตามแนวชายแดน ผลของการลงพื้นที่สีจิ้นผิงได้เสนอมาตรการใหม่ในการแก้ปัญหาคนจนให้ผู้ปฏิบัติงานทั่วประเทศนำไปปฏิบัติให้ตรงกัน สรุปสั้น ๆ คือ...“การแก้ปัญหาทุกครั้งต้องแก้ให้เข้าเป้าและตรงจุด” ก่อนอื่นใดทั้งหมดต้องตอบให้ได้ว่า... คนจนคนนั้นคือใคร.. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาจน... จนแบบนี้จะต้องช่วยอย่างไร... ผลของการช่วยเหลือเป็นอย่างไร... ความสำเร็จหรือล้มเหลวต้องวัดว่าช่วยได้ถูกคนและช่วยได้ตรงเป้าหรือไม่
เมื่อนำลงสู่การปฏิบัติ สีฯได้ให้เลขาพรรคฯและหน่วยพรรคฯ 5 ระดับคือระดับมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน จับมือแบ่งความรับผิดชอบกัน มณฑลทำหน้าที่ดูแลภาพรวมทั้งหมด ระดับล่างลงไปช่วยกันสร้าง “ทีมงานประจำหมู่บ้าน” ขึ้นมาได้ 2.5 แสนทีม ผู้ปฏิบัติงานประจำหมู่บ้านอีกกว่า 3 ล้านคน ด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ขนาดนี้ ทุกครัวเรือนและคนจนทุกคนจะมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประกบตัวคอยบันทึกและติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือลงในแฟ้มประวัติประจำตัวของคนนั้น ๆ แต่ก่อนอื่นเพื่อให้ได้ตัว “คนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ” ไม่ใช่ได้คนที่มีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่เหมือนที่เคยทำกันในบางแห่ง ทีมงานจะเรียกประชุมหมู่บ้าน ปิดประกาศให้ทุกคนรู้เห็นอย่างเปิดเผยเพื่อความโปร่งใส ว่านาย ก. นาย ข. มีรายได้จากที่ไหน เท่าไหร่ ลำบากยากจนจริงหรือไม่ หากไม่มีใครทักท้วงก็ให้ดำเนินการไปตามมาตรการช่วยเหลือที่วางไว้ ใครได้รับความช่วยเหลือจนพ้นขีดความยากจนแล้วก็ให้ถอดชื่อออกจากระบบข้อมูล
สีจิ้นผิงเน้นกับผู้ปฏิบัติงานทั่วประเทศว่า ความช่วยเหลือจะต้องลงไปให้ถึงทุกหมู่บ้านและทุกครัวเรือน ทำให้ทุกบ้านสามารถเข้าถึงปัจจัย 6 อย่างคือ... “สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ความช่วยเหลือในการทำมาหากิน การฝึกอบรม ปรับปรุงบ้านพักอาศัย ช่วยโยกย้ายที่อยู่อาศัยที่เสี่ยงอันตราย ช่วยจับคู่มณฑลที่เข้มแข็งคู่กับมณฑลที่อ่อนแอเพื่อช่วยเหลือกันในด้านต่าง ๆ ”
“การแก้จนอย่างแม่นยำและตรงจุด” เปิดโอกาสให้สีจิ้นผิงยืนประกาศบนเวทีสมัชชาพรรคฯครั้งที่ 19 อย่างเต็มภาคภูมิว่า อัตราคนจนของจีนลดลงเหลือไม่ถึง 4% แล้ว !!
โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์