ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน อากาศของปักกิ่งเริ่มเข้าสู่หน้าร้อน ถือว่าเป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างดีช่วงหนึ่งในรอบปี ระหว่างที่แนนเดินอยู่ในมหาวิทยาลัย นอกจากจะได้ชื่นชมกับบรรยากาศอันรื่นรมย์แล้ว ภาพที่จะได้เห็นบ่อยๆ ก็คือ จะมีคุณพ่อ คุณแม่ พาลูกอายุประมาณ 5-10 ขวบ มาเดินชี้ชมตึกของมหาวิทยาลัย ในตอนแรกแนนคิดว่าคงเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยพาลูกมาเดินเล่น แต่ตอนหลังเพิ่งได้รู้ว่า ความจริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ปกครองที่พาลูกมาชมมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีหลายครั้งที่เขาจะเข้ามาถามแนนว่าประตูตะวันตกไปยังไง คณะนี้ไปทางไหน แล้วก็คุยกันต่ออีกนิดหน่อย ทำให้แนนได้ทราบว่า เขาพาลูกมาดูมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียน บางครอบครัวอุตส่าห์เดินทางมาจากต่างมณฑลก็มี และส่วนใหญ่ เสร็จจากเดินชมที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้ว ก็จะไปต่อกันที่ มหาวิทยาลัยชิงหัว ที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ยิ่งถ้าเป็นช่วงรับปริญญา จะเห็นเด็กนักเรียนมาเที่ยวชมมหาวิทยาลัยปักกิ่งกันเยอะมาก โดยจะมีคุณครูเดินนำนักเรียนที่มากันเป็นชั้นๆ บางโรงเรียนสวมหมวก ใส่ชุดพละเหมือนๆ กัน น่ารักเชียวค่ะ และนักเรียนเหล่านี้จะเดินเรียงแถวกันเป็นระเบียบมาก ไม่มีที่จะผลักกัน ชกกัน แกล้งกัน ทะเลาะกัน หรือว่าส่งเสียงดัง เด็กจีนจะเชื่อฟังคุณครูมาก และตั้งใจมาชมจริงๆ ค่ะ
เด็กนักเรียนจีน ขณะเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
แนนชื่นชมวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กแบบนี้มากเลยนะคะ แนนคิดว่า วัตถุประสงค์ของคุณพ่อ คุณแม่และคุณครูเหล่านี้ ก็คือ ให้เด็กได้มาเห็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศจีนด้วยตนเอง เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีความสนใจในสถานที่แห่งนี้และอยากเข้ามาเรียนที่นี่ เด็กจะได้ตั้งภาพแห่งความสำเร็จเอาไว้ในใจ และตั้งใจเรียนเพื่อที่จะบรรลุถึงเป้าหมายนั้น
เมื่อเด็กมีภาพแห่งความสำเร็จในใจ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ระหว่างทางที่เขาเจริญเติบโต และเจออะไรอีกมากมายในชีวิต เขาจะสามารถเลือกทำแต่สิ่งดีๆ ได้ แต่ถ้าเขาไม่มีภาพเป้าหมายที่ชัดเจน บางครั้งเขาอาจจะมองข้ามโอกาสดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปเสีย ซึ่งก็อาจจะทำให้เป้าหมายของเขา (รวมทั้งของคุณพ่อคุณแม่) ไม่มีวันสำเร็จได้
แนนขอสรุปแนวคิดเช่นนี้ว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น จะต้องจินตนาการภาพความสำเร็จขึ้นมาก่อน เพราะถ้าเราไม่มีภาพแห่งความสำเร็จในจิตใจ ก็จะไม่เกิดพลังใจในการที่จะดำเนินการไปสู่เป้าหมายนั้นเลย แต่ถ้าภาพแห่งความสำเร็จชัดเจน จนเก็บลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก สิ่งนั้นก็จะสามารถเกิดขึ้นจริงขึ้นมาได้ ดังนั้น การที่ผู้ปกครองพาเด็กมาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็เหมือนเป็นการปูพื้นฐานแห่งความสำเร็จให้เด็กนั่นเอง
แนนเคยอ่านบทความหนึ่งนานมาแล้ว ว่า ความสำเร็จของคนเราจะเกิดจาก "3 แรง" คือ แรงผลัก แรงจูงใจ และแรงบันดาลใจ
แรงผลัก คือแรงที่ดันให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้า โดยที่ภายในจิตใจรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้กระทำ เช่น คนที่ต้องทำงานเพราะเป็นหนี้ หรือเพราะบ้านยากจน เคยเผชิญกับชีวิตที่ลำบากมากๆ ในตอนเด็ก แรงผลักก่อให้เกิดแรงในการทำงานก็จริง แต่คนผู้นั้นจะทำงานด้วยความเครียด
แรงจูงใจ คือแรงที่ดึงไปสู่ความสำเร็จ โดยที่ผู้กระทำรู้สึกอยากไปให้ถึงจุดใดจุดหนึ่ง เช่น พนักงานบริษัทที่ตั้งใจทำงานให้ถึงตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด เพื่อที่จะได้รับโบนัส หรือรางวัลไปเที่ยวต่างประเทศ แรงจูงใจก่อให้เกิดแรงในการทำงานก็จริง แต่คนผู้นั้นจะทำงานด้วยความความโลภ
สุดท้าย คือ แรงบันดาลใจ แรงชนิดนี้ เกิดจากการรับความรู้สึกแห่งความสำเร็จ มีสิ่งจุดประกายให้อยากกระทำ คนที่ทำงานด้วยแรงจูงใจจะมีผลของการทำงานเป็นเลิศ เพราะการทำงานของเขาจะเต็มไปด้วยความสุขและไม่โลภ อีกทั้งเขาจะไม่รู้สึกว่า ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะใช้แรงบันดาลใจเป็นตัวผลักดันในการทำงานมากกว่าอีก 2 แรงที่กล่าวมาข้างต้น เพราะนอกจากจะได้งานที่มีคุณภาพแล้ว ยังได้ความสุขอีกด้วย
เขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้แนนนึกถึงสุภาษิตจีนที่ว่า 有志者事竟成 หรือ ผู้ใดมีจิตใจแน่วแน่ ผู้นั้นทำสิ่งใดย่อมประสบความสำเร็จ ค่ะ
การที่คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูกลุ่มนี้ เลือกที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกหรือนักเรียนของตนเองด้วยวิธีการเช่นนี้ นับเป็นอีกวิถีหนึ่งของชีวิตที่น่าสนใจ แต่เท่าที่แนนเห็น คนทั่วไปมักประสบปัญหาที่ว่า ตนหรือลูกของตนไม่มีแรงบันดาลใจในการเรียนและการทำงาน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่มีเวลาค้นหา หรือไม่เห็นความจำเป็นก็ได้ ซึ่งแนนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายค่ะ เพราะถ้าคนเราไม่มีแรงบันดาลใจเลย โอกาสประสบความสำเร็จดังหวังก็จะน้อยลง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ ควรสละเวลาสักนิดเพื่อหาแรงบันดาลใจให้ลูก หรือน้องๆ คนไหนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ พี่แนนก็ขอให้น้องๆ พบแรงบันดาลใจของตนเองในเร็ววันนะคะ
แนน