วันที่ 1 มกราคมปี 2013 เป็นเส้นตายของการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการยับยั้งไม่ให้ภาวะหน้าผาทางการคลังส่งผลทำลายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐสภาสหรัฐฯ ถกเถียงกันมาอย่างยืดเยื้อ และในที่สุดได้รับอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้เผชิญกับภาวะหน้าผาในวันแรกของปีใหม่ แต่ความลังเลของสภาผู้แทนราษฎรในการลงมติอนุมัติ ทำให้ชาวอเมริกันพากันรู้สึกกังวลมาก และก่อนหน้านี้ นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ได้แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของรัฐสภาดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกหวาดผวาไปตามๆ กัน

นายโอบามาได้กล่าวด้วยอารมณ์เสียดสีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปี 2012 ที่ผ่านมาว่า "รัฐสภาจะดำเนินการต่อล้อต่อเถียงกันไปจนถึงวินาทีสุดท้าย" และกล่าวว่า "สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องยับยั้งอย่าให้มีการปรับเพิ่มภาษีสำหรับชนชั้นกลาง ผมคิดว่านี่เป็นเป้าหมายต่ำสุดที่เราต้องพยายามทำให้สำเร็จ และสมาชิกสภาทั้งพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันต่างจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายนี้ แต่ขณะนี้ยังห่างจากจุดหมายดังกล่าวพอสมควร ซึ่งใกล้เวลาสุดท้ายแล้ว พวกเราเชื่อด้วยความเคารพว่า สภาของเราหากยังเหลือเวลา 1 วินาทีที่จะทำสิ่งที่ต้องทำ ก็จะใช้วินาทีสุดท้ายนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่"

นายรอน ฮัสคินส์ นักวิจัยระดับสูงของสถาบันบรูกกิงส์ระบุเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ๆ รัฐสภาสหรัฐฯ มักตกอยู่ในภาวะการถกเถียงกันอย่างยืดเยื้อแต่ไม่มีผลคืบหน้าใดๆ จนทำให้ปัญหานั้นทวีความร้ายแรงมากขึ้น เขากล่าวว่า"ที่วอชิงตันมีคำกล่าวว่า รอให้สมัยหน้าจึงแก้ไข และเวลาเจอปัญหา พวกเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ในปัญหาลดภาษีและเพิ่มรายได้นั้น ยิ่งทำเช่นนี้เหมือนกัน ในขณะที่พวกเขาทิ้งปัญหาไว้ให้กับคนรุ่นต่อไปครั้งแล้งครั้งเล่านั้น ปัญหาเหล่านั้นก็ตกทอดไปถึงลูกหลานของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องอภิปรายปัญหาเหล่านี้ในวันนี้เลย เรื่องนี้สำคัญมาก แต่ยังมองไม่ออกว่าคราวนี้จะมีผลคืบหน้าเด่นๆ ยังไง "

นอกจากนี้ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า ถึงแม้สหรัฐฯ จะผ่านพ้นภาวะหน้าผาทางการคลังอีกครั้ง แต่ปัญหาทางการคลังของสหรัฐฯ ก็ได้รับการแก้ไขเพียงชั่วคราว และหากปัญหาต่างๆ โผล่ออกมาอย่างไม่หยุดในวันข้างหน้า ภายในรัฐสภาก็คงจะมีการต่อล้อต่อเถียงกันบ่อยขึ้น