แม้ว่าการก่อสร้างไม่หยุดหย่อนของกรุงปักกิ่งจะเป็นปัญหาหนึ่งในการก่อให้เกิดค่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กฟุ้งกระจายปะปนในอากาศ จนถูกสูดหายเข้าไปในปอดของผู้คนในเมืองหลวงแห่งนี้ และเป็นที่มาของตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นทุกปี
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหลัก ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า "ปัญหาหมอกควันเรื้อรัง" ของปักกิ่งนั้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากสัณฐานของเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงทั้งสามทิศทาง ทำให้มลพิษจากแหล่งต่างๆ ที่พฤติกรรมมนุษบ์ โรงงาน การจราจรผลิตขึ้นมาถูกกักไว้ไม่ให้ระบายออกไปไหนได้
ประจวบกับลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาวที่พัดมาจากทะเลทราบโกบีมาเป็นประจำได้นำพาฝุ่นเหลืองเข้ามาด้วยทุกๆ ปี
และยิ่งมีการใช้ถ่านหินในการทำความร้อนให้กับบ้านเรือนช่วงฤดูหนาว ทั้งจากการผลิตโดยโรงานขนาดใหญ่จำนวนหลายแห่งที่ตั้งอยู่ตามชานเมืองของกรุงปักกิ่ง เพื่อส่งความร้อนมาตามท่อเครือข่ายไปตามบ้านเรือน และการเผาถ่านหินเองในบ้านที่ไม่มีระบบทำความร้อนเข้าถึง ซึ่งตลอดราว 6 เดือนของฤดูหนาว การเผาผลาญถ่านหินเหล่านี้ได้สร้างปัญหาฝุ่นและควันพิษออกมาจำนวนมาก
แต่นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลย่อยๆ ที่หนักหน่วงคือการเร่งพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนก่อเกิดปัญหาจากการระบายมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับปัญหาสุขภาพมากที่สุด เพราะว่าฝุ่นจากโรงงานผลิตเหล็กกล้านั้นมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน และมีอนุภาคที่แข็งมาก แม้จะเล็กขนาดนั้นก็ตาม ดังนั้น เมื่อถูกสูดหายใจเข้าสู่ปอดก็ย่อมจะส่งผลร้ายแรงมากกว่าฝุ่นผงทั่วไป ซึ่งแม้ว่าปักกิ่งจะมีการย้ายโรงงานออกไปส่วนหนึ่งในช่วงโอลิมปิกเมื่อปี 2008 แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เมืองหายใจได้คล่องขึ้น
และหลังจากโอลิมปิกอีกเพียง 2 ปี ประเทศจีนก็มีนโยบายสนับสนุนให้ซื้อรถยนต์ส่วนตัว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ มีการประกันราคาให้กับผู้ต้องการซื้อรถสัญชาติจีน และลดข้อจำกัดการครอบครองรถยนต์ส่วนตัวต่างๆ ที่เคยเข้มงวดมาโดยตลอด ทำให้ภายในไม่กี่เดือนถนนที่เคยกว้างใหญ่ของกรุงปักกิ่งแน่นขนัดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้ภายหลังจะออกนโยบายจำกัดการออกหมายเลขทะเบียนรถมาฉุดยอดขายที่พุ่งเกินคาดไว้บ้างแล้วก็ตาม
อีกเรื่องหนึ่งที่ดูไม่น่าจะใช่ปัญหา แต่ก็ถือได้ว่าเป็นมูลเหตุอย่างหนึ่ง นั่นก็คือปัญหาทางประเพณีวัฒนธรรม นั่นจากการ "จุดพลุดอกไม้ไฟ" ในงานเฉลิมฉลองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิวาห์ งานศพ งานวันเกิด ปีใหม่ วันชาติ วันแรงงาน ฯลฯ ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องที่แก้ไขได้ง่ายๆ เพราะสืบเนื่องและตกทอดมาโดยสายเลือด ซึ่งล่าสุดมีนักวิทยาศาสตร์ของกรมสิ่งแวดล้อมกรุงปักกิ่ง ได้ประดิษฐ์เครื่องตรวจจับมลพิษและทำการจุดดอกไม้ไฟดู ผลปรากฏว่าให้ค่ามลพิษในระดับสูงทีเดียว เรื่องนี้เลยทำให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ได้รับความร่วมมือจากประชาชนจนเสียงกระหึ่มและควันพิษเบาบางลงไปมาก
นอกจากนี้ปัญหาหลักอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องสัณฐานของเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นผลจากการเร่งพัฒนาเมืองที่ขาดการวางแผนที่ดีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ การสร้างอาคารสูงจำนวนมากขึ้นในพื้นที่แอ่งกระทะแห่งนี้ โดยไม่ได้มีมาตรการควบคุมแต่อย่างใด ซึ่งนอกจากจำทำให้เมืองโบราณสูญเสียเอกลักษณ์จากการถูกทุบทำลายทิ้งไปมหาศาล โดยมีแท่งคอนกรีตสูงเสียดฟ้าระเกะระกะอย่างไร้ทิศทางขึ้นมาทดแทนแล้ว อาคารสูเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องปิดกั้นลมที่พัดเข้ามาในเมืองน้อยอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดการหมุนเวียนที่คล่องตัว ซึ่งภาพจากมุมสายตานกบนเครื่องบินขณะกำลังจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งในยามวันที่ท้องฟ้าใสกระจ่างนั้น จะเห็นได้ชัดว่าอาคารสูงเสียดฟ้าจำนวนมากนั้นผุดขึ้นมาท่ามกลางเมฆหมอก ซึ่งหากซูมเข้าไปใกล้จริงๆ จะพบว่าปุยสีขาวที่ระเรี่ยอยู่กับยอดตึกนั้น หาใช่เมฆไม่ หากแต่เป็นหมอกควันมลพิษทั้งสิ้น
ต้นตอเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่เร่งให้ปัญหาหมอกควันพิษของกรุงปักกิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การพัฒนาย่อมไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทุกอย่างย่อมต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเสมอ เพียงแต่ว่าแต่ละก้าวต่อไปต้องมีความระมัดระวังและรอบคอบมากยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่าในนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ก็เน้นชัดว่ายังคงจะเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อขจัดปัญหาปากท้องให้สังคมมีกินมีใช้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีการก่อมลพิษในทุกกระบวนการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็เน้นการพัฒนาความเป็นเมืองให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการบรรจุการแก้ไขปัญหาหมอกควันมลพิษเข้าสู่นโยบายที่ต้องเฟ้นหาแนวทางและมาตรการจำเป็นมาแก้ไขอย่างถาวรอย่างเร่งด่วน อีกทั้งยังเน้นเร่งพัฒนากิจการทุกประเภทให้ใส่ใจในระบบนิเวศมากยิ่งขึ้น และย้ำว่าทุกนโยบายรัฐบาลจะได้รับการปฏิบัติอย่างจริงใจ
ซึ่งถ้าหากสังเกตสิ่งรอบกายภายในเมืองใหญ่แห่งนี้จะเห็นว่ามีหลายอย่างที่ถูกประกาศแล้ว และกำลังปฏิบัติให้เห็นเป็นจริง โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาความเป็นเมืองนั้นชัดเจนยิ่ง แต่หลายคนอาจจะมองไม่เห็นหรือมองข้าม เพราะไม่เข้าใจเนื้อหาของคำว่า "ความเป็นเมือง" ซึ่งไม่ใช่จำนวนตึกสูง จำนวนถนนหนทาง ความหรูหราอลังการของสถานที่ของทางการ แต่เป็นเป็นเรื่องของการให้บริการทางสังคม การสร้างอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเพื่อให้คนทุกหมู่เหล่าเข้าถึงสาธารณวัตถุอย่างเท่าเทียมกัน การมีระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างพื้นสีเขียว เพิ่มปอดให้เมือง พื้นที่สำหรับเด็กและคนชรา รวมถึงมาตรฐานและบรรทัดฐานทางสังคมอื่นทั้งทางวัตถุ และจิตใจ ซึ่งเรื่องมารยาทางสังคม ศีลธรรม และจริยธรรมก็ถูกนำมาพูดถึงและลงมือพัฒนาควบคู่ไปด้วย กระทั่งมีแบบสอบถามในเว็บไซต์ข่าวชื่อดังของจีนเกิดขึ้น เพื่อให้คนเข้ามาออกความคิดเห็นว่า "ต้องการความเป็นเมือง" แบบไหนมมากที่สุด
ล่าสุดในท่ามกลางหมอกควันพิษ จะเห็นว่ามีการก่อสร้างบันไดและทางลาดใหม่ให้กับอาคารยุคเก่าทั้งหมด เพื่อบริการผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับครอบครัว รวมไปถึงตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ก็มีการสร้างทางลาดไว้ให้คนชราและผู้พิการได้มีโอกาสของการท่องเที่ยวเท่ากับคนปกติทั่วไปด้วย และต้องขอชื่นชมว่าการก่อสร้างเหล่านี้ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมของสถานที่นั้นเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงการวางแผนอย่างรอบคอบในการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไม่แน่ว่าในวันที่ทางการสามารถสางม่านหมอกในอากาศเหล่านี้ไปได้อย่างถาวรนั้น เมืองที่สวยงามและน่าอยู่อาจจะปรากฏออกมาสู่สายตาไปพร้อมๆ กันก็เป็นได้
พัลลภ สามสี//จีนปริทรรศน์