วันที่ 6 มิถุนายนนี้ การประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่มของเอเชียตะวันออกเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการที่กรุงเนปิดอว์ ของเมียนมาร์ ประเด็นหลักของการประชุมคือ กระบวนการการปฏิรูปและอนาคตแห่งการพัฒนาของเมียนมาร์ ปัจจุบัน นักลงทุนสนใจลงทุนในเมียนมาร์มากขึ้น แต่เมียนมาร์ยังคงมีอุปสรรคมากในการลงทุนทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ผู้เข้าร่วมการประชุมจึงมุ่งเป้าในประเด็นเกี่ยวกับหนทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของเมียนมาร์

สื่อมวลชนรายงานแจ้งว่า บุคคลสำคัญจากวงการการเมือง ธุรกิจ และวิชาการของ 55 ประเทศรวมกว่า 1,000 คนได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้

นายเคลาส์ ชวอป ประธานการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่มกล่าวในพิธีเปิดประชุมว่า เมียนมาร์มีทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทำเลที่ตั้งทางภูมิประเทศที่ได้เปรียบ จึงกล่าวได้ว่า เมียนมาร์มีพื้นฐานการพัฒนาที่ดี นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาร์มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาที่ได้ประสบความสำเร็จมาแล้วมาก เมียนมาร์จะสามารถศึกษาและนำประสบการณ์เหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์ เร่งพัฒนาประเทศของตนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ด้านนายโทนี เฟอร์นันเดส (Tony Fernandes) ซีอีโอของบริษัทสายการบินเอเชียในฐานะประธานร่วมของการประชุมครั้งนี้กล่าวต่อที่ประชุมว่า เขามีความมั่นใจต่อตลาดเมียนมาร์ ปัจจุบัน เมียนมาร์มีสนามบินที่ทันสมัย เครื่องบินขนาดใหญ่สามารถขึ้นลงที่นี่ได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

นางเฮเลน คลาร์ก (Helen Clark) ผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในฐานะประธานร่วมของการประชุมกล่าวในที่ประชุมว่า อุตสาหกรรมของเมียนมาร์จะเจริญเติบโตขึ้นมากในอนาคต แต่จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะเห็นได้ชัดว่า อุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตขึ้นไม่สามารถช่วยขจัดความยากจนในประเทศโดยตรงได้ ดังนั้น เมียนมาร์ต้องนำผลการพัฒนาอุตสาหกรรมมาหล่อเลี้ยงกิจการด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา สาธารณะสุข หลักประกันทางสังคม และการฝึกอบรมด้านอาชีพ

นางเฮเลน คลาร์ก ยังกล่าวว่า การพัฒนาเกษตรกรรมสามารถช่วยขจัดความยากจนได้ด้วยดี เมียนมาร์มีสภาพดินฟ้าอากาศและที่ดินที่เหามะสำหรับการพัฒนาเกษตรกรรม แต่ปัจจุบัน มีการลงทุนด้านการเกษตรในเมียนมาร์น้อยมาก ทำให้เมียนมาร์ยังไม่สามารถนำเงินทุนไปปรับเปลี่ยนการพัฒนาเกษตรกรรมรูปแบบเดิม

ปัจจุบัน เมียนมาร์ยังขาดแคลนสิ่งปลูกสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมาก ระบบกฎหมายยังไม่สมบูรณ์ การปะทะระหว่างเผ่าชน และทางศาสนาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยสาเหตุเหล่านี้ ผู้เข้าร่วมการประชุมจำนวนหนึ่งจึงยังไม่มั่นใจในอนาคตแห่งการพัฒนาของเมียนมาร์ อย่างไรก็ตาม นายเต็งเส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์กล่าวต่อที่ประชุมว่า เมียนมาร์จะขับเคลื่อนการปฏิรูปต่อไป เพื่อนำประโยชน์มาสู่ประชาชนและสังคม เขายังกล่าวว่า เมียนมาร์กำลังพัฒนาสู่ระบบประชาธิปไตย และพยายามยุติการปะทะภายในประเทศที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมียนมาร์เป็นเอกราชเมื่อปี 1948 เขาแสดงความเชื่อมั่นว่า ประชาชนเมียนมาร์จะรับประโยชน์จากผลแห่งการพัฒนาในอนาคตอย่างแน่นอน

(YIM/cai)