ผลการสำรวจจากองค์กรวิจัยที่เกี่ยวข้องแสดงว่า ถ้าผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 100,000 คนรีบถอดปลั๊กหลังเลิกงาน ปีหนึ่งก็สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 2,680 กิโลวัตต์-ชั่วโมง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ประมาณ 1,600 กิโลกรัม เท่ากับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถยนต์ 2,600 คันปล่อยออกมาในเวลาหนึ่งเดือน นี่แสดงว่า การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประหยัดพลังงานในออฟฟิศของคนจำนวนมาก จะรวมเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมากจนเราคาดคิดไม่ถึง การสร้างสรรค์ออฟฟิศคาร์บอนต่ำต้องให้พนักงานทุกคนร่วมมือกันครับ
วิธีการทำงานในออฟฟิศแบบคาร์บอนต่ำ ปฏิบัติไม่ยากเช่นกัน กล่าวง่ายๆ ก็คือ ควรใช้ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตและซอฟท์แวร์การสื่อสารให้เต็มที่ โดยรณรงค์ให้รับส่งไฟล์เอกสารฉบับอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอี-เมลหรือซอฟท์แวร์การสื่อสาร เช่น MSN พยายามลดการใช้กระดาษในการพิมพ์เอกสาร ในกรณีที่ต้องประชุมกัน แนะนำให้จัดการประชุมออนไลน์ เช่น วีดีโอคอนเฟอร์เรนส์ ทำให้พนักงานที่ทำงานนอกออฟฟิศ คู่เจรจาจากบริษัทอื่น หรือลูกค้าที่เข้าร่วมประชุมไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังห้องประชุม การหลีกเลี่ยงการเดินทางของผู้ร่วมประชุม โดยเฉพาะการเดินทางข้ามเมืองที่ต้องใช้บริการเครื่องบิน รถไฟหรือเรือ จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของยานพาหนะดังกล่าวเป็นอย่างมาก
พยายามลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในออฟฟิศ เป็นวิธีสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์ออฟฟิศแบบคาร์บอนต่ำ ในช่วงกลางวันที่มีแดดส่องก็ไม่ต้องเปิดไฟ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของหลอดไฟในออฟฟิศ ในกรณีที่ต้องเปิดไฟในออฟฟิศ เมื่อทำงานเสร็จหรือถึงเวลาเลิกงานกลับบ้าน ก็ให้รีบปิดไฟ ปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในภาวะนอนหลับเสมอ ทำให้คอมพิวเตอร์ลดการบริโภคไฟฟ้าในภาวะที่เปิดเครื่องแต่ไม่ทำงาน ปิดโปรแกรมและอุปกรณ์การทำงานที่ต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ในเวลาที่ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์เหล่านี้หมายถึงลำโพง เครื่องพิมพ์ และเครื่องถ่ายเอกสาร เป็นต้น ส่วนด้านการใช้น้ำในออฟฟิศ แนะนำให้ปิดก๊อกทันทีที่ไม่ใช้น้ำเพื่อการประหยัดทุกหยด ผลการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของการประหยัดน้ำในออฟฟิศเท่ากับผลที่ได้จากการประหยัดน้ำในบ้าน
สิ่งที่ใคร่จะเน้นเป็นพิเศษ ณ ที่นี้คือเรื่องการใช้เสิร์ชเอนจิ้นหรือใช้เว็บไซต์สืบค้นในการในการทำงาน หมายถึงการใช้งานกูเกิ้ลหรือยาฮูค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตในการทำงาน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบว่า การใช้เสิร์ชเอนจิ้นก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เช่นกัน เพราะการค้นหาข้อมูลของเสิร์ชเอนจิ้นต้องอาศัยการทำงานของเครื่องเซอร์วิสและคลังข้อมูลดิจิตอลที่กระจายอยู่ทั่วโลก กระบวนการทำงานนี้จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแสดงให้เห็นว่า การใช้เสิร์ชเอนจิ้นค้นหาหนึ่งครั้ง จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 7 กรัม หากสืบค้น 1,000 ครั้ง เท่ากับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการแล่น 1 กิโลเมตรของรถยนต์หนึ่งคัน ดังนั้นก็ขอเชิญมาร่วมกันรณรงค์ไม่ใช้เสิร์ชเอนจิ้นค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตที่ไม่จำเป็น
การรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงมีส่วนช่วยต่อการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เข้าใจว่า การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กับการรับประทานเนื้อสัตว์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ข้อมูลที่จะนำเสนอ ณ ที่นี่ จะทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติเคยประกาศรายงานสำรวจการปศุสัตว์ฉบับหนึ่งเมื่อปี 2003 โดยชี้ว่า แก๊สเรือนกระจกที่ปล่อยจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงปศุสัตว์คิดเป็น 18% ของแก๊สเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของมนุษยชาติ มากกว่า 14% ที่ปล่อยโดยเครื่องบิน รถยนต์ และเรือทั้งหมดบนโลกใบนี้ การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัม จะก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 36.4 กิโลกรัม
ขั้นตอนต่างๆ ของการผลิตเนื้อสัตว์ ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ การขนส่ง การฆ่าสัตว์ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ล้วนต้องใช้พลังงานมาก การใช้พลังงานก็จะควบคู่ไปกับการปล่อยแก๊สเรือนกระจก การหลีกเลี่ยงทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็เท่ากับประหยัดพลังงานในทุกขั้นตอนดังกล่าว จึงมีผลต่อการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกโดยตรง ยกตัวอย่างนะครับ ปริมาณพลังงานที่ใช้เลี้ยงหรือขนส่งปศุสัตว์เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม พอที่จะให้หลอดไฟขนาด 100 วัตต์ส่องสว่างได้นานต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 สัปดาห์เชียว
บางคนอาจจะกังวลว่า การรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลงจะทำให้ร่างกายได้รับสารโภชนาการไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะสารโปรตีนที่สำคัญต่อร่างกายอย่างยิ่ง อันที่จริง ถั่วชนิดต่างๆ หรืออาหารประเภทถั่ว เช่นผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ และผลไม้เปลือกแข็งก็อุดมไปด้วยสารโปรตีนที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ ที่สำคัญ ร่างกายจะดูดซึมสารโปรตีนจากพืชได้ง่ายกว่าสารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ การย่อยสารโปรตีนจากพืชก็จะไม่เกิดสารพิษมากเท่าการย่อยสารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้อัตราการป่วยของคนทานอาหารมังสวิรัตต่ำกว่าคนทานเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น การรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ หากยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
การใช้ชีวิตแบบคาร์บอนต่ำเป็นผลดีต่อทั้งโลกและตัวเราเอง หวังว่าข้อปฏิบัติเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทั้งบ้านและออฟฟิศ จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อการดำเนินชีวิตแบบคาร์บอนต่ำของผู้คนที่สนใจการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม