รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า กระบวนการขยายเมืองต่างๆในจีนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ หากต้องการจะสลายแรงกดดันต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ต้องใช้แนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนและสร้างเมืองให้น่าอยู่
รายงานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1978-2012 อัตราความเป็นเมืองในจีนขยายจากร้อยละ 17.9 ขึ้นมาเป็นร้อยละ 52.6 ซึ่งขยายในอัตรารวดเร็วและมีขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
คาดว่าในปี 2030 อัตราความเป็นเมืองในจีนจะขยับสูงขึ้นถึงร้อยละ 70 เท่ากับว่า ชาวจีนที่อยู่ในเขตเมืองจะมีเกือบ 1,000 ล้านคน การขยายเมืองเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นเพื่อสร้างจีนให้ทันสมัย และเป็นโอกาสสร้างศักยภาพเพื่อขยายความต้องการภายในประเทศ แต่สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ กระบวนการขยายเมืองในจีนได้ก่อเกิดปัญหาที่ยังไม่กลมกลืนกัน ไม่ยั่งยืน ไม่ปรองดอง และไม่เปิดกว้าง ซึ่งขัดขวางกระบวนการสร้างระบบนิเวศน์ที่ดีของจีน
รายงานระบุว่า ช่วงระยะเวลานี้ การเดินหน้าขยายเมืองในจีนนับวันเกิดปัญหาที่ไม่สมเหตุสมผลเด่นชัดยิ่งขึ้น ด้านหนึ่ง มุ่งความเร็วแต่ไม่สนใจคุณภาพ และอีกด้านหนึ่ง ใช้ทรัพยากรและทำลายสิ่งแวดล้อมมาก ทั้งนี้ นายเซี่ย เจิ้นหวา รองประธานคณะกรรมการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติจีนระบุว่า ต้องเปลี่ยนรูปแบบดั้งเดิมในการขยายเมือง
"พร้อมๆ กับการที่ประชาชนมีจิตสำนึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีจำกัด การขยายเมืองด้วยรูปแบบดั้งเดิมที่ต้องสูญเสียทรัพยากรและระบบนิเวศน์ที่ดีจึงยากที่จะดำรงต่อไปได้ นอกจากนี้ เมื่อระบบบริการสาธารณะสำหรับชาวเมืองในเมืองเก่ากับเมืองใหม่มีความแตกต่างกันไม่ทั่วถึงกัน ก็จะยิ่งสร้างความขัดแย้งทางสังคมให้มากขึ้น การขยายเมืองด้วยรูปแบบดั้งเดิมจึงยากที่จะดำรงต่อไปได้เช่นกัน ดังนั้น การขยายเมืองของจีนจึงต้องเปลี่ยนจากมุ่งความเร็วมาเป็นการให้ความสำคัญกับคุณภาพมากขึ้น"
รองประธานคณะกรรมการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติจีนยังระบุด้วยว่า การขยายเมืองด้วยรูปแบบใหม่ในอนาคตต้องยึดแนวคิดและหลักการสร้างระบบนิเวศน์ที่ดี โดย ให้ความสำคัญกับมนุษย์ เพื่อสร้างเสาค้ำจุนให้เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
(NUNE/LING)