ขณะที่สถานการณ์วิกฤตในยูเครนยังดำเนินอยู่ แต่จุดความสนใจได้เปลี่ยนเป้าหมายจากกรุงเคียฟไปยังเขตปกครองตนเองไครเมียแล้ว
คืนวันที่ 6 มีนาคมนี้ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯโทรศัพท์หารือกับนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า ควรแก้วิกฤตครั้งนี้ด้วยวิธีทางการทูต เพราะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งรัสเซีย ยูเครน และประชาคมโลก เขาเห็นว่าปฏิบัติการของรัสเซียในยูเครนได้ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของยูเครน จึงเรียกร้องให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่โดยเร็ว อีกทั้งเห็นว่า การที่รัฐสภาไครเมียเห็นชอบการจะจัดลงประชามตินั้นได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญยูเครนและกฎหมายสากล เพราะเรื่องการเมืองใดๆของยูเครน ควรต้องมีรัฐบาลยูเครนที่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามีส่วนหารือร่วมด้วย
ส่วนผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า การช่วงชิงอำนาจรัฐด้วยการก่อกบฎที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญนั้นไม่อาจถือเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งปวงของยูเครนได้ รัสเซียจึงต้องมีปฏิกิริยาต่อข้อเรียกร้องของประชาชนในภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้และเขตปกครองตนเองไครเมีย พร้อมยืนยันว่าปฏิบัติการของรัสเซียที่ส่งกองกำลังเข้าไปในไครเมียและควบคุมสถานที่ราชการต่างๆไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายสากล อีกทั้งกองทัพที่ปิดล้อมทหารยูเครนในไครเมียขณะนี้เป็นกองกำลังปกครองตนเองในท้องถิ่น
วันที่ 6 มีนาคมนี้ รัฐสภาสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียลงมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ เห็นชอบการกลับไปอยู่กับสหพันธรัฐรัสเซีย พร้อมจะจัดให้ประชาชนลงประชามติในวันที่ 16 มีนาคมนี้
วันเดียวกัน วุฒิสภาและสภาดูมาของรัสเซียยังไม่มีท่าทีใดๆต่อปัญหาไครเมีย คาดว่าจะรอให้สิ้นสุดการลงประชามติก่อน ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุว่า การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯวิจารณ์การกระทำของผู้นำรัสเซียนั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
Nune/Sun