เมื่อค่ำวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เหตุจลาจลในเขตเฟอร์กูซันยังคงยืดเยื้อ ทั้งๆ ที่ทางการได้เพิ่มกำลังตำรวจจาก 700 นายเมื่อวันก่อนเป็น 2,200 นาย ชาวบ้านรวมพลเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนพร้อมชูสองมือ และตะโกนว่า "ยกมือขึ้น อย่ายิง"
นอกจากนี้ในค่ำวันเดียวกัน อีกกว่า 170 เมืองทั่วประเทศสหรัฐฯ ก็ร่วมขบวนประท้วง โดยผู้ประท้วงได้ยึดสะพาน อุโมงค์ และเส้นทางสายหลัก
ย้อนไปงเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา นายไมเคิล บราวน์ หนุ่มผิวสีวัย 18 ปีที่ไม่มีอาวุธถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดาร์เรน วิลสัน ตำรวจผิวขาวสกัดและยิงเสียชีวิตบนถนนเขตเฟอร์กูซัน ซึ่งทำให้เกิดการชุมนุมแสดงพลังอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีการประกาศคำพิพากษายกฟ้องนายดาร์เรน วิลสัน ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น และทำให้เหตุจลาจลในเขตเฟอร์กูซันทวีความรุนแรงขึ้น และบานปลายถึงทั่วประเทศสหรัฐฯ
ผู้ประท้วงชาวท้องถิ่นเฟอร์กูซันระบุว่า การประท้วงไม่ได้พุ่งเป้าไปยังคดีสังหารนายไมเคิล บราวน์อย่างเดียว ขณะที่สื่อสหรัฐฯ เช่น ซีเอ็นเอ็น ก็ระบุว่า ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ได้พุ่งไปยังผลการตัดสินคดีเท่านั้น หากยังพุ่งไปยังความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติที่มีอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนจากคดีนี้ โดยชาวผิวสีไร้อาวุธถูกตำรวจที่เป็นผิวขาวยิงเสียชีวิต และศาลตัดสินให้ยกฟ้องตำรวจผิวขาวผู้ต้องคดี ในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวค่อนข้างตึงเครียด อย่างเขตเฟอร์กูซัน ถึงแม้ส่วนใหญ่เป็นแอฟริกันก็ตาม แต่พวกผิวขาวยังคงเป็นแกนนำในหน่วยงานบริหารการปกครอง การบังคับใช้กฎหมาย และการศึกษา จึงเป็นไปได้ง่ายที่จะทำให้เกิดปัญหาทางเชื้อชาติขึ้นมา
(IN/LING)