นายไอ่ ซุน โอห์ (Ei Sun Oh) อดีตเลขาธิการฝ่ายการเมืองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า การที่นายสี จิ้นผิงเชิดชูเจตนารมณ์บันดุง คือ ประเทศต่างๆ มีความเคารพนับถือกัน มีความสำคัญแห่งยุคสมัยภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ลัทธิอำนาจบาตรใหญ่ยังคงเป็นที่นิยม นอกจากนี้ "คำปราศรัยของนายสี จิ้นผิงมีส่วนช่วยต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเอเชีย-แอฟริกา และความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาระหว่างเหนือกับใต้ให้น้อยลง"
ดร.หลี่ เหรินเหลียง จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิดา) ระบุว่า คำปราศรัยของนายสี จิ้นผิงย้ำยกระดับความร่วมมือเอเชีย-แอฟริกาให้สูงขึ้น แนะลู่ทางความร่วมมือและหลักปฏิบัติการ โดยหลักปฏิบัติยังคงเป็นเจตนารมณ์บันดุง "60 ปีให้หลัง หลัก 5 ประการแห่งการอยู่ร่วมกันยังคงเป็นหลักการสำคัญที่ไม่เปลี่ยนและใช้ได้ในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประทศ"
ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งของอินโดนีเซียระบุว่า ในคำปราศรัย นายสี จิ้นผิงระบุว่า จีนจะให้ทุนอบรมบุคลากรแก่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย-แอฟริกาจำนวน 100,000 ทุนภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การพัฒนาที่ควรค่าแก่ประเทศด้อยพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างอินโดนีเซีย นอกจากนี้ จีนยังจะจัดงานกาล่าเยาวชนเอเชีย-แอฟริกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนประเทศต่างๆ ของเอเชีย-แอฟริกา ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมยินดีมาก
ส่วนนายเฉียน เฟิง รองผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ย่าโจวรึเป้า ระบุว่า ข้อริเริ่ม 3 ประการของนายสี จิ้นผิงที่เสนอระหว่างปราศรัยเป็นการสืบสายเลือดเดียวกันกับเจตนารมณ์บันดุง เป็นองค์ประกอบโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ซึ่งสะท้อนว่า เป็นการนำเจตนารมณ์บันดุงไปปฏิบัติให้บรรลุผลอย่างแท้จริง
(IN/LING)