นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่า ต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด เป็นเพราะการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์สงครามเย็นและแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา แรงกดดันจากสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลและประชาชนเกาหลีใต้ต้องยับยั้งอารมณ์เคียดแค้นต่อการปกครองแบบล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นและความต้องการให้ญี่ปุ่นชดใช้ความเสียหายและค่าปฏิมากรรมสงคราม
หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงได้ในทศวรรษ 1990 ไม่นาน ปัญหาหญิงบำเรอทำให้ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ต่างเผชิญกับโอกาสมองปัญหาประวัติศาสตร์ใหม่ สตรีเกาหลีใต้ที่เคยถูกบังคับให้เป็นหญิงบำเรอในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกร้องให้ญี่ปุ่นยอมรับความผิด ขอขมา ชำระค่าเสียหายตามกฎหมาย และให้เยาวชนญี่ปุ่นรับทราบความจริงในประวัติศาสตร์ แต่สนธิสัญญาฟื้นฟูความสัมพันธ์สู่ภาวะปกติซึ่งญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ร่วมกันลงนามภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ เมื่อ 50 ปีก่อน กลับกลายเป็นข้ออ้างของรัฐบาลญี่ปุ่นในการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนปฏิเสธคำเรียกร้องค่าเสียหายจากหญิงบำเรอและแรงงานเกาหลีใต้ที่ถูกเกณฑ์มาโดยพลการในช่วงสงคราม
ตั้งแต่นายชินโซ อาเบะเข้ากุมอำนาจทางการเมืองของญี่ปุ่นเป็นต้นมา ปัญหาประวัติศาสตร์กลายมาเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความวุ่นวายให้กับความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ รวมทั้งสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อสตรีเกาหลีใต้ที่เคยถูกทหารญี่ปุ่นบังคับให้เป็นหญิงบำเรอต่างเข้าสู่วัยชรา เกาหลีใต้นับวันจึงมีความกังวลใจและโกรธแค้นมากขึ้นต่อรัฐบาลญี่ปุ่นที่หลบปัญหาด้วยทุกวิถีทางมาโดยตลอด
เดือนพฤษภาคมปีนี้ นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเยือนเกาหลีใต้ เร่งให้ทั้งเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นแก้ปัญหาประวัติศาสตร์และฟื้นฟูการเจรจา แต่วัตถุประสงค์ของสหรัฐฯ ก็ยังคงเหมือนกับเมื่อ 50 ปีก่อนไม่มีผิด โดยถือผลประโยชน์ของตนเหนือกว่าความเป็นธรรม และมุ่งสร้างดุลยภาพใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้านหนึ่งคือปล่อยปละละเลยให้รัฐบาลชินโซ อาเบะบิดเบือนประวัติศาสตร์ อีกด้านหนึ่งก็กดดันไม่ให้เกาหลีใต้ส่งเสียงเรียกร้องให้ชำระปัญหาประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง เฉกเช่นกับเมื่อ 50 ปีก่อนที่สองประเทศอะลุ่มอล่วยกันจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเรียบร้อย ปัญหาระหว่างสองประเทศในทุกวันนี้จึงยังมีอยู่ และก็คงจะดำรงต่อไปเรื่อยๆ