สถานีวิทยุซีอาร์ไอรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา ตำรวจไทยประกาศว่า หลังจากที่ได้จับกุมผู้ต้องสูงสัยก่อเหตุวางระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ย่านราชประสงค์พร้อมยึดของกลางเป็นวัตถุประกอบระเบิดภายในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งเขตกรุงเทพฯ บ่ายวันเดียวกัน ศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคดีระเบิดราชประสงค์เพิ่ม อีก 2 ราย

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ตำรวจไทยได้จับกุมผู้ต้องสงสัยเพศชายไม่ทราบสัญชาติที่อพาร์ทเมนท์ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ 1 ราย พร้อมกับยึดของกลางเป็นวัตถุระเบิดจำนวนมาก ต่อมา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ตำรวจไทยได้รับเบาะแสใหม่และเดินทางไปตรวจสอบที่อพาร์ทเมนท์อีกแห่งหนึ่งในเขตมีนบุรี พบอุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิดเพิ่มเติมอีกหลายชิ้น รวมถึงวิทยุสื่อสารระยะไกล หลอดไฟขนาดเล็ก นาฬิกาปลุก เป็นต้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดเผยความคืบหน้าคดีดังกล่าวพร้อมภาพถ่ายผู้เช่าอพาร์ทเมนท์ 2 ราย รายแรกเป็นหญิงไทยชื่อน.ส. วรรณา สวนสันต์ อายุ 26 ปี อีกรายหนึ่งเป็นสามีของน.ส. วรรณา แต่ไม่ทราบสัญชาติ แต่เนื่องด้วยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเมนท์ ศาลอาญาจึงออกหมายจับผู้ต้องสงสัยดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริกยังขอความร่วมมือประชาชน หากพบบุคคนต้องสงสัยที่มีหน้าตาคล้ายกับภาพหมายจับ ให้รีบแจ้งเบาะแสแก่ตำรวจทันที เพราะบริเวณที่พักของพวกเขาอาจมีวัตถุอันตรายที่ใช้ประกอบระเบิด และหากพบผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายผ่านกล้องวงจรปิด ขอให้แบ๊คอัพข้อมูลสม่ำเสมอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินคดีของตำรวจ

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนไทยมีรายงานว่า เมื่อตำรวจเดินทางไปสอบสวนยังบ้านผู้ต้องสงสัยฝ่ายหญิง ซึ่งอยู่ที่จังหวัดพังงา ก็ทราบว่าผู้ต้องสงสัยฝ่ายหญิงได้ย้ายที่อยู่ไปยังประเทศตุรกีเมื่อ 3 เดือนก่อน จึงไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ทั้งคู่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดหรือไม่

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยให้สัมภาษณ์ที่นำเนียบนายกรัฐมนตรีระบุถึงความคืบหน้าของคดี พร้อมกับระบุว่า ยังคงต้องให้เวลาในการรวบรวมหลักฐาน (Toon/Ci)