นครฉงชิ่ง 1 ใน 4 เมืองที่ปกครองพิเศษแบบเทศบาลนครขึ้นต่อส่วนกลางของจีน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ริมแม่น้ำแยงซี มีชื่อย่อว่า ปา(巴) หรืออยี๋ว์ (渝) และได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งภูเขา เมืองแห่งสะพาน เมืองแห่งหมอก และเมืองแห่งน้ำพุร้อน เป็นต้น ถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน การเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษาและศิลปกรรมในเขตตอนต้นแม่น้ำแยงซี เป็นเขตชุมทางการคมนาคมทางบก ทางน้ำและทางอากาศของภาคกลางและภาคตะวันตกของจีน
แม่น้ำสายใหญ่ 2 สายที่ไหลผ่านนครฉงชิ่ง คือแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเจียหลิง เนื่องจากสมัยโบราณแม่น้ำเจียหลิงเรียกว่า "แม่น้ำอยี๋ว์" ดังนั้น นครฉงชิงจึงมีชื่อย่อว่า "อยี๋ว์" ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เมื่อกว่า 820 ปีก่อน เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "ฉงชิ่ง" ซึ่งมีความหมายว่า "ศิริมงคล 2 เท่าตัว" ช่วงสงครามต่อต้านทหารญี่ปุ่นนั้น เคยเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลสาธารณรัฐจีน หลังจากจีนใหม่สถาปนาขึ้น ฉงชิ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของมณฑลเสฉวน จนถึงเดือนมิถุนายนปี 1997 คณะรัฐมนตรีจีนพิจารณาให้นครฉงชิ่งเป็นเมืองที่ขึ้นตรงกับส่วนกลาง มีสถานะเทียบเท่ากับมณฑลและเขตปกครองตนเอง
นครฉงชิ่งมี 4 ฤดูเหมือนท้องที่ส่วนใหญ่ของจีน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของทั้งปีอยู่ระหว่าง 16-18 องศาเซลเซียส ร้อนที่สุด 29-30 องศาเซลเซียส หนาวที่สุดอยู่ระหว่าง 4-8 องศาเซลเซียส ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ฝนตกมากที่สุด เนื่องจากอยู่ริมแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเจียหลิง ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่มีระดับความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 70%-80% เป็นพื้นที่ที่ชื้นที่สุดแห่งหนึ่งของจีน และมักมีหมอกปกคลุมทั่วทั้งเมืองเกือบทั้งปี ตลอดทั้งปีจะมีแสงแดดเพียง 1,000-1,400 ชั่วโมง เป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดน้อยที่สุดแห่งหนึ่งของจีน
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า กรุงลอนดอนเป็นนครในหมอก แต่ละปี มีวันที่ปกคลุมด้วยหมอกประมาณ 94 วัน แต่นครฉงชิ่งมีมากกว่ากรุงลอนดอนเป็น 104 วัน โดยเฉพาะในเขตภูเขายิ่งมากถึง 204 วัน ถือเป็นนครแห่งหมอกโดยแท้
ความงามของสาวฉงชิ่งเป็นที่ขึ้นชื่อมาก ไม่ใช่เฉพาะหน้าตาสวยเท่านั้น ยังรวมถึงผิวพรรณและรูปร่างดีด้วย คนท้องถิ่นบอกว่า ผิวสวยเพราะอากาศชุ่มชื้น รูปร่างดีเพราะต้องขึ้นลงบันไดตลอดเวลาออกไปข้างนอก ไม่เหมือนเดินเล่นในที่ราบ ทำให้ต้องเสียแรงมากกว่า นอกจากนี้ เนื่องจากแสงแดดไม่พอ จึงทำให้คนท้องถิ่นอาจขาดแคลเซียม จนตัวค่อนข้างเตี้ย ไม่สูงเท่าคนภาคเหนือ ทำให้คนภาคเหนือรู้สึกว่า สาวฉงชิ่งตัวเล็กน่าเอ็นดู
แม้ว่ามี 4 ฤดูกาล แต่ชาวฉงชิ่งมักกล่าวว่า นครฉงชิ่งมีเพียง 2 ฤดูกาล คือฤดูร้อนกับฤดูหนาว เพราะเมื่อมีแสงแดด อากาศจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว และอบอ้าว ต้องใส่กระโปรง แต่วันรุ่งขึ้น อาจจะมีเมฆเยอะ ทำให้ฟ้าครึ้มไม่มีแสงแดดหลายวัน อุณหภูมิก็จะลดลง จนต้องใส่เสื้อกันหนาวขึ้นมา และเนื่องจากมีหมอกคลุมเมือง กลางวันจึงมองไม่เห็นทิวทัศน์ผังเมืองอย่างชัดเจนได้ คนฉงชิ่งจึงมักชวนคนต่างถิ่นชมวิวผังเมืองในกลางคืน ที่มีไฟประดับสวยงามดูโรมันติกกว่าด้วย
นอกจากได้ชื่อว่า "เมืองแห่งหมอก" แล้ว ฉงชิ่งยังได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแห่งภูเขา" เพราะว่าเมืองฉงชิ่งสร้างขึ้นบนภูเขา อยู่ระหว่างภูเขาจงเหลียงกับภูเขาถงหลัว ดังนั้น ถนนหนทางของฉงชิ่งจะขึ้นๆลงๆ เกือบไม่มีถนนที่ราบเรียบ ยกเว้นถนนหนานปินที่สร้างริมแม่น้ำแยงซี อาคารและบ้านเรือนอยู่อาศัยก็สร้างตามภูเขาเช่นกัน เช่น ท่าเรือที่แหลมอยี๋ว์จงที่มีพื้นที่ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 168 เมตร ที่เขตเอ๋อหลิ่งสูง 400 เมตร ลองคิดว่า เมืองฉงชิ่งที่มีพื้นที่กว่า 82,000 ตารางกิโลเมตรจะเป็นแบบไหน ฉงชิ่งเป็นเมืองภูเขาที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน
เนื่องจากเป็นถนนบนเขา ในเมืองฉงชิ่ง เกือบไม่มีโอกาสเห็นรถจักรยาน และบนถนนก็ไม่มีทางเฉพาะสำหรับขี่รถจักรยานเหมือนกรุงปักกิ่ง หรือเมืองอื่นที่อยู่ในเขตที่ราบ คนฉงชิ่งกล่าวกันว่า คนที่ขี่จักรยานในฉงชิ่ง มีเพียง 2 ประเภท คือ นักกีฬา หรือคนบ้าเท่านั้น คนทั่วไปไม่มีใครขี่จักรยานหรือรถ 3 ล้อที่ต้องใช้แรงคนถีบเด็ดขาด แต่การเดินทางในฉงชิ่งสะดวกสบายไม่แพ้นครใหญ่อื่นๆ มีรถรางไฟฟ้า ซึ่งแบ่งเป็นสองอย่าง คือรถที่แล่นบนรางคู่กับรางเดี่ยว โดยรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นรถรางคู่ รถไฟฟ้าบนดินเป็นรถรางเดี่ยวที่วิ่งอยู่สูงเหนือถนนทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีรถประจำทางและแท๊กซี่ให้บริการ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นแบบมีภูเขาและแม่น้ำ ทำให้ต้องสร้างถนนอ้อมไปอ้อมมา บางทีการเดินเท้าอาจเร็วกว่าโดยสารรถก็เป็นได้ ปัจจุบันฉงชิ่งมีรถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้งหมด 5 สาย มีความยาวรวมกว่า 200 กิโลเมตร เริ่มใช้งานตั้งแต่เมื่อปี 2011 ทำให้การเดินทางของชาวเมืองฉงชิ่งสะดวกยิ่งขึ้น