เฟิง: กรุณาอธิบายภาระหน้าที่ของสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ทางสมาคมฯ ได้จัดงานอะไรหรือร่วมกิจกรรมอะไรเพื่อสารสัมพันธ์ไทย-จีน?

ชัยวัฒน์: สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนตั้งขึ้นมาปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว เหตุผลสำคัญของการก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นมาเนี่ย ก็คือเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สื่อข่าวไทยกับผู้สื่อข่าวจีน ต้องเรียนท่านผู้ฟังว่า ทุกวันนี้ ทางจีนมีการตั้งสำนักข่าวในไทยหลายสำนักข่าว ผมว่าประมาณ 7 – 8 สำนักข่าว เยอะนะครับ แสดงว่า จีนให้ความสำคัญกับไทยมากที่ว่าจะเป็นฐานกลางในการสื่อข่าวส่งความ เพราะว่ายุทธศาสตร์คือ สำหรับอาเซียนแล้ว ไทยถึอว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ บางแห่งใช้ไทยเป็นสำนักงานภูมิภาคด้วยซ้ำ เอเชีย-แปซิฟิก ฉะนั้นเราก็คิดว่า ถ้านักข่าวไทยกับจีนรู้จักกันให้มาก มีความสัมพันธ์ที่ดี มีกิจกรรมร่วมกันเนี่ย จะเป็นประโยชน์ต่อสองฝ่าย เพราะความเจริญระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันขึ้นอยู่กับนักข่าว สื่อมวลชนเป็นหลักด้วยเหมือนกัน ถ้าสื่อมวลชนนำเสนอข่าวในแง่ที่ดี ก็ทำให้ประชาชนสองฝ่ายรู้สึกต่อการที่ดี มันก็จะเชื่อมไปยังนโยบายรัฐบาล อะไรต่างๆ ด้วย ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งที่กำลังทำอยู่เช่น จัดคอร์สสอนภาษาจีนให้กับนักข่าวไทย เพราะว่าที่ผ่านมานักข่าวไทยสนใจประเทศจีน แต่ว่ารู้จักภาษาจีนได้น้อยมาก ในขณะที่นักข่าวจีนเนี่ยตอนหลังศึกษาภาษาไทยมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งเราจะจัดกิจกรรมสัมมนา เช่น ปีนี้ครบรอบ 40 ปีไทย-จีน เราก็จัดโครงการสัมมนาขึ้นไปเนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี เชิญท่านทูตจีนประจำประเทศไทย คือท่านนิ่ง ฟู่ขุยเป็นวิทยากรพิเศษ เชิญผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ลงทุนในจีน อย่างเช่น CP มาเป็นวิทยากร แล้วเดี๋ยวในวันที่ 2 ธันวาฯ ที่จะถึง เราก็จะหยิบประเด็นที่คุณหลู่ เฟิงถามในเรื่องของ AEC เรื่องของ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" มาเชื่อมกันดูว่า มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วจะเชื่อมโยงกับบทบาทสื่อมวลชนไทย-จินยังไงครับ

เฟิง: ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณชัยวัฒน์เพิ่งนำคณะสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนไปทำข่าวที่มณฑลส่านซีของจีนมา นักข่าวจากสื่อหลักๆ ของไทยที่ร่วมเดินทางไป ได้รายงานประเด็นที่น่าสนใจอะไรบ้าง?

ชัยวัฒน์: ที่ไปมณฑลส่านซีและเมืองซีอานเที่ยวนี้ก็เป็นการเชือนจากทางส่านซี มีหลายหน่วยงานรวมทั้งสมาคม(การค้า)ส่านซี-ไทยด้วย ซึ่งผมก็เพิ่มทราบว่ามีสมาคมนี้เกิดขึ้น ได้ไปคุยกับผู้บริหารของบริษัทพัฒนาพลังงานของจีน ได้ไปดูศูนย์โลจิสติกส์สำคัญของส่านซี เพราะว่าส่านซีถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น จุดกำเนิดของเส้นทางสายไหมทางบกในอดีต และปัจจุบันก็จะมีบทบาทสำคัญสำหรับเส้นทางสายไหมยุคใหม่ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ทางส่านซีอยากให้สื่อมวลชนไทยได้ไปเห็นและก็รายงาน สื่อมวลชนไทยที่ไปก็มีฐานเศรษฐกิจ มีไทยรัฐ มีเดลินิวส์ มีผู้จัดการ มีสปริงนิวส์ มีทางบางกอกทูเดย์ มีข่าวหุ้นไปกัน ประมาณ 10 กว่าคน ซึ่งแต่ละคนกลับมา เขาก็นำเสนอในแง่มุมที่ตนเองเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ผมดู นอกจากมีเรื่องท่องเที่ยว มีเรื่องวัฒนธรรม มีการส่งเสริมเรื่องการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับส่านซีด้วย เพราะที่นั่นเนี่ย เมื่อก่อนดูว่าจะมีคนรู้จักแต่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เขาบอกจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่นั้นน้า คือสุสานจิ๋นซีก็เป็นส่วนหนึ่งถ้าคุณไม่เคยไปคุณควรจะต้องไป ไปดูว่า โอ่โห โบราณนี้เขาทำกันยังไง แต่ในยุคปัจจุบัน ส่านซีก็ยังมีวัตถุดิบ มีจุดที่น่าลงทุน จุดที่น่าจะทำการค้าเชื่อมโยงต่อกัน เช่นเขาบอก แอปเปิลฟูจิ(ในตลาดจีน)มาจากส่านซีเป็นหลัก แบบนี้เป็นต้น

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเห็นของคุณชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะที่ว่า นักข่าวและสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หวังว่า สื่อหลักๆ ทั้งจีนและไทยจะจับมือให้แน่น แข็งขันทำงานเพื่อให้ประชาชนสองประเทศเพิ่มพูนความเข้าใจกัน ร่วมขับเคลื่อนความสัมพันธ์จีน-ไทยให้สนิทแน่นแฟนยิ่งขึ้น