หนังสือพิมพ์หวนเฉียวสือเป้าฉบับวันที่ 26 พฤษภาคมได้ตีพิมพ์บทความของนายเจี่ยง เหวย ผู้ช่วยศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยการเมืองและกฎหมายตะวันตกเฉียงเหนือของจีน (Northwest University of Political Science and Law) โดยระบุว่าการยื่นฟ้องปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ที่ฟิลิปปินส์เป็นผู้ยื่นฟ้องเพียงลำพังฝ่ายเดียว โดยฟ้องว่าจีนแทรกแซงสิทธิของฟิลิปปินส์ในการใช้อธิปไตยและสิทธิการปกครองตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่มีมาช้านานของชาวประมงฟิลิปปินส์ในเกาะหวงเหยียน แต่ขั้นตอนการสาธกของฟิลิปปินส์มีข้อผิดพลาดมากมาย
นายเจี่ยง เหวยชี้ในบทความว่า การที่ฟิลิปปินส์ฟ้องร้องว่าจีนแทรกแซงสิทธิของฟิลิปปินส์ในการใช้อธิปไตยและสิทธิการปกครองตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่มีมาช้านานของชาวประมงฟิลิปปินส์บนเกาะหวงเหยียน มีความผิดพลาดในการสาธกด้วยเหตุปัจจัยแรก จีนมีอธิปไตยที่ถกเถียงไม่ได้ต่อหมู่เกาะหนานซา การบัญญัติกฎหมายภายในประเทศของจีนที่ฟิลิปปินส์ได้อ้างถึงนั้นระบุอย่างชัดเจนว่าดินแดนของจีนรวมทั้งหมู่เกาะหนานซาด้วย ภาคผนวกที่ 2 ของ "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล" ระบุว่า "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล" ยอมรับว่าหมู่เกาะเป็นแนวคิดเดียว ซึ่งแนวคิดนี้เสนอโดยสมาคมกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อปี 1924 ก่อนที่ "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล"จะมีขึ้นก็ได้รับการยอมรับอย่างคุ้นชินและแน่ชัดจากกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนการประกาศใช้ "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล"และระบบประเทศหมู่เกาะนั้นไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของหมู่เกาะที่ได้รับการยอมรับจากกฎหมายระหว่างประเทศที่ใช้กันมาแต่เดิม ด้วยเหตุนี้ หมู่เกาะหนานซาในฐานะโดยรวม จึงมีสิทธิในน่านน้ำ เขตเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่เฉพาะและไหล่ทวีป "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล"ไม่ได้ยกเว้นให้ประเทศในแผ่นดินใหญ่ใช้ระบบประเทศหมู่เกาะ อันที่จริง ประเทศส่วนใหญ่ได้บริหารหมู่เกาะของตนที่อยู่ในมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของตนด้วยวิธีการบริหารทั้งหมด
(In/zheng)