นายไต้ ปิ่งกั๋ว อดีตมนตรีแห่งชาติจีนกล่าวคำปราศรัยในพิธีเปิดงานว่า ผลการตัดสินคดีข้อพิพาททะเลจีนใต้ซึ่งใกล้จะประกาศเป็นเพียงกระดาษเปล่าประโยชน์เท่านั้น เกี่ยวกับปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดน จีนจำเป็นต้องกุมชะตากรรมไว้ในกำมือของตนให้มั่น ไม่อาจยอมรับแผนการใดๆ จากฝ่ายที่ 3
นายไต้ ปิ่งกั๋วเน้นว่า ตลอดช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควรนี้ ทะเลจีนใต้ซึ่งเคยมีความเงียบสงบมานานกลับไม่สงบนิ่งแล้ว ความสนใจต่อปัญหาทะเลจีนใต้เพิ่มสูงถึงระดับที่ผิดปกติ "ผมสังเกตว่า รายงานและบทวิจารณ์ต่อปัญหาทะเลจีนใต้ส่วนใหญ่โฟกัสที่ตอนใดตอนหนึ่งเป็นพิเศษเท่านั้น ไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรูปโฉมสมบูรณ์ที่แท้จริงของปัญหาทะเลจีนใต้ ผมเห็นว่า การศึกษาวิจัยปัญหาที่ดึงดูดความสนใจระดับโลกนี้ จำเป็นต้องยืนหยัดในสภาพความเป็นจริงเป็นที่ตั้ง พิจารณาถึงปูมหลังสากลอย่างจริงจัง การศึกษาความเป็นมาและแนวโน้มการพัฒนา และติดตามการกระทำไปมาระหว่างคู่กรณี จึงจะทำให้สามารถมองปัญหาได้ชัดเจนทุกแง่มุม จำแยกข้อเท็จจริงได้แล้วก็จะมีข้อสรุปที่ถูกต้อง"
นายไต้ ปิ่งกั๋วชี้ว่า ข้อมูลประวัติศาสตร์จากจีนและหลายประเทศตะวันตกเป็นหลักฐานยืนยันว่า ประชาชนจีนค้นพบ ตั้งชื่อและบุกเบิกพัฒนาหมู่เกาะทะเลจีนใต้ก่อนใครอื่นทั้งสิ้น รัฐบาลจีนเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ที่ถือครองอธิปไตย และบริหารจัดการเหนือหมู่เกาะเหล่านี้อย่างสันติและได้ผล ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หมู่เกาะหนานซากลับคืนสู่อ้อมกอดมาตุภูมิ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางระเบียบสากลและกำหนดพรมแดนที่ทั่วโลกยอมรับ จริงๆ แล้ว ในระยะเวลาเนิ่นนานหลังสิ้นสุดสงคราม ฝ่ายสหรัฐฯ ยอมรับและเคารพต่ออธิปไตยเหนือดินแดนบนหมู่เกาะหนานซาของจีน ในขณะเดียวกัน ในฐานะส่วนประกอบของการจัดระเบียบสากลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อธิปไตยเหนือดินแดนบนหมู่เกาะหนานซาของจีนได้รับการคุ้มครองจากกฎบัตรสหประชาชาติด้วย
YF