ปี 1915 เขาย้ายไปเปิดร้านขายภาพเขียนและอาศัยอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ และในอีก 2 ปีต่อมา ในปี 1917 เขาเดินทางไปยังกรุงตเกียวเพื่อศึกษาศิลปะ หลังเขาเดินทางกลับมาได้ถูกชักชวนให้ไปสอนวิชาศิลปะที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง พอปี 1919 เขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้มุ่งหน้าไปยุโรป เพื่อศึกษาศิลปะในกรุงปารีส ที่เอโกเล่ นาสิอองนาน ซูเปริเออ แดส โบซ์ อาร์ต ซึ่งเป็นสถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น เขาได้เรียนการเขียนภาพสีน้ำมันและการวาดเส้น ระหว่างนั้นเขาก็ตระเวณดูงานศิลปะไปจนทั่วยุโรปตะวันตก เพื่อเรียนรู้รูปแบบและอิทธิพลของศิลปะแขนงต่างๆ เมื่อเขากลับมายังประเทศจีนในปี 1927 เขาก็ได้เข้าสอนที่มหาวิทยาลัยส่วนกลางของประเทศ ซึ่งปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยหนานกิง
ปี 1933 เขานำศิลปะสมัยใหม่ของจีนตระเวณเดินทางไปจัดแสดงในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี และสหภาพโซเวียต อีกทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเดินทางมายังทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงงานในสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินเดียว และมอบรายได้ทั้งหมดให้กับชาวจีนที่ทุกข์ทรมานจากสงคราม
หลังการสถาปนาสาธารณรัฐ สวู่ เป่ยหง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาจิตรกรรมส่วนกลาง และเป็นประธานของสมาคมศิลปินจีน
บ้านพิพิธภัณฑ์สวู่ เป่ยหง นั้นแบ่งห้องแสดงออกเป็น 8 ห้อง ในอาคารที่มีความสูง 2 ชั้น
โดยที่ชั้นล่างนั้น แบ่งเป็น 4 ห้อง พร้อมทั้งห้องโถงกลาง แต่มีงานของ สวู่ เป่ยหง เพียง 2ห้องเท่านั้น ซึ่งทางปีกซ้ายขวาของตัวอาคาร ส่วนที่ห้องกลางและห้องเล็กติดกับโถงนั้นเป็นห้องแสดงภาพของศิลปินคนอื่น งานของ สวู่ เป่ยหง ในสองห้องนี้เป็นงานภาพเขียนด้วยหมึกและพู่กันจีนทั้งสิ้น แต่ละภาพมีขนาดใหญ่ๆ ทั้งนั้น และล้วนเป็นภาพที่มีชื่อเสียงของเขา ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในห้องกระจกอย่างดี อาทิ ภาพเด็กเลี้ยงควาย ภาพไก่ขันกลางสายฝน ภาพม้าในอิริยาบทต่างๆ และภาพสิงโต เป็นต้น