|

 
เอี้ยนอิงเสนาบดีรัฐฉี ภายหลังบิดาของเขาเสียชีวิตแล้ว เขาได้รับช่วงเป็นมหาอำมาตย์ของรัฐฉี และได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีของสามรัชสมัยในรัฐฉี อันได้แก่รัชสมัยหลิงกง จวงกง และจิ่งกง เอี้ยงอิงนั้นเป็นคนซื่อตรงเปิดเผยตรงไปตรงมา เป็นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้ชีวิตที่ประหยัดเรียบๆง่ายๆ จึงเป็นที่เคารพนับถือนับแต่องค์กษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดาสามัญ.
วันหนึ่ง เอี้ยนอิงกำลังรับประทานอาหารกลางวันอยู่ กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงส่งคนผู้หนึ่งมาพบเขา เอี้ยนอิงไม่ได้จัดการต้อนรับเป็นพิเศษแต่อย่างไรต่อคนที่กษัตริย์ทรงส่งมา แต่ได้แบ่งอาหารของตนออกเป็นสองส่วน เชิญผู้มาร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน และแน่นอน อาหารมื้อนี้ของเขาย่อมกินไม่อิ่ม.
เมื่อกษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ตรัสอย่างทอดถอนพระทัยว่า"บ้านของอัครมหาเสนาบดีถึงกับยากจนเช่นนี้ เราไม่เคยรับรู้มาโดยตลอดเลย นี่เป็นความผิดพลาดของเรา?
ตรัสแล้ว กษัตริย์ฉีจิ่งกงทรงมีรับสั่งให้นำทองพันตำลึงส่งไปให้เอี้ยนอิง ให้เขาใช้ในการต้อนรับแขก แต่ทว่า เอี้ยนอิงไม่ยอมรับ สั่งให้เอากลับคืนไป กษัตริย์ฉีจิ่งกงมีรับสั่งให้ส่งมาอีก และเขายังคงไม่
ยอมรับอยู่ดี ขณะที่กษัตริย์ฉีจิ่งกงมีรับสั่งให้ส่งมาเป็นครั้งที่สามนั้น เอี้ยนอิงกล่าวต่อคนที่มาส่งว่า"กรุณากราบทูลท่านอ๋องว่า ข้าพเจ้าหาได้ยากจนไม่ เงินเดือนที่ท่านอ๋องพระราชทานให้นั้น มิเพียงพอเพียงใช้อุปการะเลี้ยงดูคนในครอบครัวและต้อนรับแขกเหรื่อเท่านั้น หากยัง
สามารถช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากจนด้วย ดังนั้น ข้าพเจ้ามิอาจรับการประทานที่พิเศษนี้ของท่านอ๋องอีก?"
คนที่มาส่งทองให้รู้สึกลำบากใจ กล่าวต่อเอี้ยนอิงว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าพเจ้านั้นมาปฏิบัติงานตามรับสั่ง ท่านคราวนี้ไม่ยอมรับอีก จะให้ข้าพเจ้ากลับไปกราบทูลท่านอ๋องเช่นไรขอรับ?"
เอี้ยนอิงใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ขอเข้าวังไปกับท่าน ไปทูลตอบปฏิเสธกับท่านอ๋องเอง"
เอี้ยนอิงเข้าเฝ้ากษัตริย์ฉีจิ่งกงแล้วก็ทูลกราบขอบพระคุณในความเมตตาของกษัตริย์ฉีจิ่งกง และกราบทูลว่า ในฐานะที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินนั้น มีกินมีใช้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรมีทรัพย์สินเงินทองมากมายเกินไป และขอร้องอย่าได้ให้เขาฝืนรับทองที่ทรงประทานพิเศษนี้อีก.
1 2
|