ชาเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตประจำวันของชาวจีน เวลาทำงาน กินข้าว รับรองแขก ล้วนนิยมดื่มน้ำชา เพราะว่า น้ำชาทั้งกลิ่นหอม แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน และยังเป็นผลดีต่อการบำรุงสมอง นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์ได้วิจัยผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีที่มีความเคยชินดื่มน้ำชาจำนวนกว่า 2,500 คนเป็นเวลา 2 ปี พบว่า 2 ใน 3 ไม่มีอาการความจำเสื่อม แต่ผู้ที่ไม่ดื่มน้ำชา 35% ความจำเสื่อมลง แสดงว่า การดื่มน้ำชา ช่วยให้สมองสดชื่น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ปัจจุบัน ชาวจีนนิยมดื่มชาหลายอย่าง อาทิ
ชาเกลือ การดื่มน้ำชาที่ผสมเกลือบางๆ สามารถรักษาไข้หวัด แก้ไอ ร้อนในและปวดฟัน
ชาน้ำส้มสายชู การดื่มน้ำชาที่เจือด้วยน้ำส้มสายชู จะบำรุงกระเพาะอาหาร แก้มาลาเรีย และปวดฟัน
ชาขิง การดื่มน้ำชาขิงหลังอาหาร บำรุงปอด บรรเทาอาการไอ ป้องกันและรักษาไข้หวัด และโรคไทฟอยด์
ชานม ต้มน้ำนมที่ใส่น้ำตาลกรวดขาวให้เดือด แล้วผสมด้วยน้ำชา จะได้ช่วยลดความอ้วน บำรุงม้าม และให้สมองสดชื่น
ชาน้ำผื้ง การดื่มน้ำชาที่ชงน้ำผึ้งและใบชาด้วยกัน จะสามารถแก้การกระหายน้ำ บำรุงเลือด ทำให้ปอดชุ่มชื่น บำรุงไต และแก้ท้องผูก
เนื่องจากชามีประโยชน์มากมาย จึงมีคนนิยมดื่มน้ำชาเป็นประจำจำนวนมากขึ้น แต่มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดื่มน้ำชาดังนี้
1. ชอบดื่มชาใหม่ เนื่องจากชาใหม่เก็บมาเป็นเวลาสั้น มีสารที่ยังไม่เป็นอ๊อกซิไดซ์หลายอย่าง ซึ่งจะระคายกรดเคลือบในกระเพาะอาหารและลำไส้จนทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ดังนั้น ไม่ควรดื่มชาใหม่ที่เก็บมาไม่ถึง 15 วัน
2. ดื่มน้ำชาที่ชงเป็นครั้งแรก เนื่องจากยาฆ่าแมลงและสารพิษอาจค้างอยู่บนใบชา ดังนั้น น้ำชาที่ชงเป็นครั้งแรกเป็นน้ำล้างชา ไม่ควรดื่ม
3. ดื่มน้ำชาขณะท้องว่าง จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจางลง และทำให้สารที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเข้าสู่เลือด จะเกิดอาการเวียนหัว ใจหวิว มือเท้าชา
4. ดื่มน้ำชาหลังอาหาร เมื่อกรดฟอกหนังในใบชาผสมกับธาตุเหล็กในอาหารแล้วจะละลายได้ยาก ถ้าทำติดต่อเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็กจนเป็นโรคโลหิตจาง
1 2
|