เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียได้ประกาศรายงาน "มองอนาคตการพัฒนาเอเชีย" ฉบับเพิ่มเติมที่กรุงเทพฯ โดยคาดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนในปีนี้จะเป็น 5.2% และในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 5.6%
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปีนี้จากเดิม 6.9% มาเป็น 6.6% และปรับลดดัชนีในปีหน้าจากเดิม 7.3% มาเป็น 7.1% รายงานฉบับนี้ระบุว่า ถึงแม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงจะกระทบถึงการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ความต้องการภายในภูมิภาคและโครงการบูรณะฟื้นฟูของประเทศอาเซียนจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่จำนวนผู้บริโภคที่เป็นชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น มีส่วนช่วยให้ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดการพึ่งพาอาศัยตลาดส่งออก เช่น ประเทศยุโรปและประเทศอเมริกา โครงการบูรณะฟื้นฟูหลังประสบอุทกภัยของประเทศไทยเป็นหัวรถจักรที่กระตุ้นให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างมีพลัง เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ที่ดำเนินด้วยดีและความต้องการในการบริโภคของอินโดนีเซียที่นับวันเพิ่มสูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ดีสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาเซียน การที่ต้นทุนของอุตสาหกรรมการผลิตในจีนเพิ่มสูงขึ้นทุกที ทำให้อินโดนีเซียและเวียดนามมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมการผลิตของโลก ปัจจุบัน จำนวนผู้ลงทุนระยะยาวเพิ่มสูงกว่าผู้ลงทุนระยะสั้นในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหนี้สินของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า ความมั่นใจของผู้ลงทุนค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
หนังสือพิมพ์ "นันยาง เซียง เพา" ของมาเลเซียรายงานว่า มาตรการของประเทศอาเซียนเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหาภาคคือ ใช้นโยบายการเงินที่แข็งขันควบคุมภาวะเงินเฟ้อของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การบริหารการคลังที่เน้นระเบียบวินัยทำให้รัฐบาลสามารถใช้นโยบายที่ได้ผลเพื่อต้านผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ซบเซา อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้เงินทุนหมุนเวียนเข้าออกประเทศได้อย่างสะดวก
รายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียยังระบุว่า ความต้องการด้านการบริโภคที่อ่อนแรงของทั่วโลกมี่ส่วนช่วยไม่ให้ราคาน้ำมันปิโตรเลียมและราคาธัญพืชเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อของภูมิภาคอาเซียนสามารถลดลงได้ อัตราเงินเฟ้อของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปี 2012 จะลดลงจาก 4.6% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนมาเป็น 4.4% ในปัจจุบัน และจะคงระดับนี้ต่อไปจนถึงปี 2013
In/feng