เหรียญทองการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2012 ลอนดอนเกมส์นับได้ว่าเป็นเหรียญทองที่ใหญ่ที่สุดและมีน้ำหนักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาโอลิมปิก โดยมีน้ำหนัก 410 กรัม มากกว่าน้ำหนักของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์กรุงปักกิ่งปี 2008 ถึง 250 กรัม และเป็น 17 เท่าของเหรียญทองการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์กรุงสตอกโฮล์มปี 1912
แต่ที่จริงแล้ว ส่วนผสมทองคำในเหรียญทองโอลิมปิกลอนดอนเกมส์กลับมีเพียง 6 กรัม เป็นสัดส่วน 1.34% ของน้ำหนักเหรียญเท่านั้น ส่วนผสมสำคัญอย่างอื่นเป็นเงิน สาเหตุที่ทำอย่างนี้คือ ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกลอนดอนเกมส์กลัวว่า นักกีฬาที่ได้เหรียญทอง มักจะตื่นเต้นดีใจสุดสุด บางคนถึงขั้นใช้ฟันกัดเหรียญ ทำให้คุณค่าเหรียญทองลดน้อยลง
ซีเอ็นเอ็นรายงานข่าว ราคาทำเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ลอนดอนไม่น่าจะเกิน 650 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เหรียญเงิน 335 ดอลล่าสหรัฐฯ ส่วนเหรียญทองแดงถูกที่สุด ประมาณ 5 ดอลล่าร์เท่านั้น พอๆ กับค่าแฮมเบอร์เกอร์อันหนั่งเพื่อแก้หิว
แน่นนอน คุณค่าของเหรียญทองโอลิมปิกจะสูงกว่าค่าทำอย่างมาก สำหรับนักกีฬของประเทศต่างๆ เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์จะมีความหมายต่างกัน และมีน้ำหนักไม่เท่ากัน รัฐบาลของแต่ละประเทศมักจะให้รางวัลแก่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง เหรียญรางวัลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
สื่อมวลชนเยอรมัน (german newspaper bild) ได้รวบรวมข้อมูลและจัดรายชื่อจำนวนเงินรางวัลของนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกลอนดอนเกมส์ปรากฏว่า สหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่คว้าเหรียญทองค่อนข้างมาก ไม่ได้ให้เงินรางวัลมากสุด แต่ประเทศเล็กๆ อาทิ จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน กลับให้เงินรางวัลสูงมากแก่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง
โดยรัฐบาลจอร์เจียจะให้เงินรางวัลมากที่สุดแก่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์กรุงลอนดอนให้กับจอร์เจีย ยอดเงินประมาณ 987,500 ยูโร นับเป็นเงินรางวัลสูงสุดสำหรับเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ของโลก
ต่อมาคืออาร์เมเนีย แม้ว่ามวลรวมการผลิตภายในประเทศถัวเฉลี่ยจัดอยู่อันดับที่ 113 ของโลก แต่เงินรางวัลที่ให้แก่แชมป์โอลิมปิกเกมส์กรุงลอนดอนมีถึง 700,000 ยูโร อันที่จริง ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์กรุงปักกิ่งปี 2008 อาร์เมเนียได้ 6 เหรียญทองแดง จึงหวังอย่างมากที่จะให้นักกีฬาคว้าเหรียญทองสักเหรียญมาครอง
อาเซอร์ไบจานก็ไม่น้อยนัก โดยตั้งเงินรางวัล 640,000 ยูโร แม้ว่ามวลรวมการผลิตภายในประเทศถัวเฉลี่ยอยู่อันดับที่ 112 ของโลกก็ตาม
สิงค์โปร์แม้วา่เป็นประเทศเล็กมาก แต่รัฐบาลก์ให้ความสำคัญกับเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์อย่างมาก จึงตั้งเงินรางวัล575,000 ยูโรแก่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง
ต่อมาคือไทเปของจีน เงินรางวัลประมาณ 328,000 ยูโร มาเลเซีย 314,000 ยูโร อิตาลี 140,000 ยูโร เบลารุส 123,000 ยูโร ญีุ่่น105,000 ยูโร
สำหรับนักกีฬาจีน ถ้าไม่รวมเงินรางวัลจากนักธุรกิจ ทางการจะให้เงินรางวัล 41,000 ยูโร สหรัฐฯ อเมริกาก็เหมือนก็ ทางรัฐบาลจะให้เงินรางวัลเพียง 20,500 ยูโรเท่านั้น แต่นักกกีฬาที่คว้าเหรัยญทองจะมีโอกาสได้เป็นพรีเซนเอตร์โฆษณาสินค้าแบรนด์เนมแอมบาสเดอร์ที่มีค่าจ้างไม่น้อยนัก
เอยรมันตั้งเงินรางวัลไม่สูง มีเพียง 15,000 ยูโร โดยกองทุนช่วยเหลือการกีฬาเยอรมนีเป็นองค์การที่ให้เงินรางวัลแก่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง
ประเทศที่ตระหนี่คงเป็นเกาหลีใต้ ทางรัฐบาลตั้งเงินรางวัลไว้ 240 ยูโร แต่ถ้าเป็นแชมป์โอลิมปิกเกมส์ ก็จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับราชการทหาร
ส่วนอังกฤษซึุ่่งเป็นประเทศเจ้าภาพ เป็นประเทศที่ขี้เหนียวที่สุด การเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ก็เพื่อเสริมพระเกียรติยศแด่สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ จึงไม่มีเงินรางวัล แต่นักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง จะมีโอกาสขึ้นหน้าปกแสตมป์ชุดพิเศษสำหรับโอลิมปิกเกมส์ และตู้ไปรษณีย์ตู้หนึ่งในบ้านเกิดของเขาจะชุบเป็นสีทอง
(กทม. 20 ก.ค. - หน่วยงานเอกชนร่วมอัดฉีด 1 ล้านบาท สำหรับนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองลอนดอนเกมส์
นายอารักษ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด แถลงข่าวอัดฉีดนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์ 2012 ผ่านนายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งจะอัดฉีดนักกีฬาที่คว้าเหรียญทอง 1 ล้านบาท พร้อมกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซีบีอาร์ 205 อาร์ 1 คัน มูลค่า 120,000 บาท ส่วนนักกีฬาได้เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง จะมอบรถจักรยานยนต์อย่างเดียว นอกจากนี้ยังร่วมสนับสนุนการถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยอีกด้วย. – สำนักข่าวไทย)
(Yin/Lin)