เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายชินโซ อาเบ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เสร็จสิ้นการเยือนเมียนมาร์เป็นเวลา 3 วัน นักวิเคราะห์เห็นว่า เป้าหมายสำคัญของการเยือนครั้งนี้คือส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับเมียนมาร์ เพื่อได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจของเมียนมาร์ แต่เนื่องจากความร่วมมือระหว่างสองประเทสมีพื้นฐานค่อนข้างเปราะบาง แต่สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของเมียนมาร์ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จึงยากที่จะคาดผลที่จะได้รับ
การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนเมียนมาร์ครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในช่วง 36 ปีที่ผ่านมา มีผู้รับผิดชอบของธุรกิจญี่ปุ่นประมาณ 40 แห่งตามไปด้วย สื่อมวลชนญี่ปุ่นเห็นว่า การเยือนครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญคือปูทางเพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นเข้าสู่เมียนมาร์ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้เติบโตขึ้น
นายชินโซ อาเบะกล่าวในการเจรจากับนายเต็งเส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือเพื่อการบุกเบิกพัฒนา ทั้งทางการและภาคเอกชนร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของเมียนมาร์ เขายังให้คำมั่นสัญญาว่า ปีนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดงบประมาณช่วยเหลือแก่เมียนมาร์ประมาณ 900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และยกเว้นหนี้สินประมาณ 1,980 ล้านดอลล่าร์สหรัฐแก่เมียนมาร์ นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศยังตกลงจะส่งเสริมการเจรจาในด้านความมั่นคงส่วนภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันประเทศของสองประเทส
นักวิเคราะห์เห็นว่า การเยือนเมียนมาร์ของนายชินโซ อาเบะครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ "การทูตเศรษฐกิจ" ปีนี้ ญี่ปุ่นเคยตกลงจะให้เงินกู้แก่เมียนมาร์ประมาณ 490 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการส่งเสริมโครงการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษธิลาวา ที่ญี่ปุ่นกับเมียนมาร์บุกเบิกร่วมกัน รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่าจะขยายบทบาทมากขึ้นในการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในเมียนมาร์ เพื่อปูพื้นฐานที่ดีสำหรับการเข้าสู่ตลาดเมียนมาร์ของวิสาหกิจญี่ปุ่น
แต่ญี่ปุ่นจะได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจของเมียนมาร์คงยังต้องใช้เวลาอีกนาน แม้ว่าเมียนมาร์มีทรัพยากรณ์อุดมสมบูรณ์ ต้นทุนแรงงานถูก มีศักยภาพใหญ่หลวงก็ตาม แต่การปรับปรุงให้ระบบจ่ายไฟฟ้า การสื่อสารและทางหลวงให้สมบูรณ์แบบยังต้องใช้เวลาอีกนาน นอกจากนี้ นายชินโซ อาเบะให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับอาเซียนอย่างมาก การเยือนเมียนมาร์ถือเป็นการขยาย "การทูตอาเซียน" โดยมีเป้าหมายคือผลักดันความร่วมมือกับเมียนมาร์อย่างกว้างขวาง และเพิ่มอิทธิพลของญี่ปุ่นในเมียนมาร์
การเยือนครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการทูตของนายชินโซ อาเบะ คือได้รับผลประโยชน์จากด้านเศรษฐกิจก่อน และค่อยส่งเสริมความร่วมมือในด้านความมั่นคง แต่ว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นกับเมียนมาร์มีปัจจัยไม่แน่นอน ถ้าการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของเมียนมาร์ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หรือมีปัญหาในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมการลงทุนและการประกอบกิจการของวิสาหกิจ ก็จะจำกัดการเข้าสู่ตลาดเมียนมาร์ของธุรกิจญี่ปุ่น จนส่งผลกระทบต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
Ying/Lr