เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากการสำรวจพบว่าชาวจีนราว 1 ใน 5 คน เป็นโรคความดันโลหิตสูง เจ้าหน้าที่หน่วยงานสาธารณสุขแห่งชาติจีนระบุว่า เวลานี้ ประชากรจีนกว่า 266 ล้านคน.ในกลุ่มคนที่อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป กำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูง ในจำนวนนั้นร้อยละ 24 มักมีอาการปวดและเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ ขณะที่มีเพียงผู้ป่วยร้อยละ 25 เท่านั้นที่เข้ารับการรักษา เพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีโรคอีกหลายอย่างตามมา เช่น หลอดเลือดในสมองตีบ เส้นเลือดโป่งพอง โรคหลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ โรคไตวาย อัมพาต อัมพฤกษ์ เนื้องอก และโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงจึงเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงมาก โดยมีสาเหตุสำคัญคือวิถีการดำเนินชีวิตและการรับประทานอาหารผิดหลักโภชนาการ การป้องกันและรักษาโรคนี้จึงไม่อาจใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใส่ใจเรื่องวิถีการดำเนินชีวิต และอาหารการกินด้วย
สาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงมีสองประการหลักๆ ได้แก่สาเหตุภายในและภายนอก สาเหตุภายในคือ กรรมพันธุ์ มีสัดส่วน 20%ส่วนสาเหตุภายนอกคือ สิ่งแวดล้อมและวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งมีจำนวนมากถึง 80% แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้
หากต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้นนักวิชาการด้านการแพทย์ของจีนแนะนำว่า ควรรับประทานอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ทำจิตใจให้เข้มแข็งและมีความสุข
การรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการนั้นสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ร่างกายไม่อ้วนหรือผอมเกินไป มีปริมาณคลอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือดเหมาะสม โดยมีหลักสำคัญ 5 ประการดังนี้
ประการแรก ต้องดื่มนมวันละหนึ่งกล่อง เพื่อเสริมแคลเซียม การขาดแคลเซียมนั้นจะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดเอว ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสันหลังโค้งงอ และกระดูกหักง่าย โดยปกติร่างกายของเราต้องการแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม แต่ในอาหารที่เรารับประทานนั้นมีแคลเซียมเพียงวันละประมาณ 500 มิลลิกรัมเท่านั้น หากดื่มนมวันละหนึ่งกล่อง ก็จะเพิ่มปริมาณแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ สำหรับคนที่แพ้นม ดื่มแล้วท้องเสีย ให้ดื่มนมเปรี้ยวแทน หรือดื่มน้ำเต้าหู้ก็ได้แต่ต้องเพิ่มปริมาณอีกหนึ่งเท่า เพราะในน้ำเต้าหู้มีแคลเซียมเพียงครึ่งหนึ่งของนมเท่านั้น หรืออาจทานอาหารอื่นๆที่มีแคลเซียมสูงทดแทน เช่น ปลาเล็กปลาน้อย เป็นต้น
ประการที่สอง รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเช่น ข้าวไม่ควรเกินวันละ 300 กรัม หากรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักเกิน ล่าสุด นักวิชาการด้านการแพทย์แนะนำว่า สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักร่างกาย ให้ดื่มน้ำแกงก่อนรับประทานอาหาร เพื่อให้ทานได้น้อยลงและช้าลงด้วย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ควรทานข้าวก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำแกง
ประการที่สาม ต้องรับประทานอาหารประเภทโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสารอาหารให้แก่ร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง เช่น ไข่ไก่ เต้าหู้ ปลา กุ้ง ไก่ เป็ด และถั่วเหลือง
ประการที่สี่ ควรรับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนทั้งประเภทหยาบเช่น ข้าวโพด มันเทศ ถั่ว และประเภทละเอียด เช่น แป้งหมี่ แป้งสาลี แป้งชนิดต่างๆ ในปริมาณใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มเพียง 70-80 % เท่านั้น เพื่อรักษารูปร่างที่ดี สุขภาพที่แข็งแรง และลดความเสี่ยงเกิดโรคต่างๆ ได้ ช่วยให้มีอายุยืนนาน
ประการที่ห้า ต้องรับประทานผักและผลไม้วันละไม่ต่ำกว่า 500 กรัม เพราะว่า การรับประทานผักและผลไม้ นอกจากจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยเพิ่มกากใยในการขับถ่าย สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากห้าประการดังกล่าว หมอจีนยังแนะนำว่า ควรรับประทานอาหารสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว และสีดำอย่างสม่ำเสมอด้วย
อาหารสีแดงนั้นมีหลายอย่าง เช่น มะเขือเทศ และพริก การรับประทานมะเขือเทศบ่อยๆ จะช่วยลดความเสี่ยงที่เป็นโรคมะเร็งบางชนิดได้ หากรับประทานมะเขือเทศสุก ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มาก ส่วนการรับประทานพริกแดง จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารและเพิ่มรสชาติความอร่อยของอาหารมากขึ้น ทำให้มีอารมณ์ดี ลดความหงุดหงิดกังวลใจได้
อาหารสีเหลือง พบมากในแครอท มันเทศ ข้าวโพด ฟักทอง คนเอเชียส่วนใหญ่ขาดวิตามินเอ ซึ่งจะทำให้เป็นหวัดง่าย สายตาพร่ามัว มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ด้วยเหตุนี้ ชาวเอเชียรวมถึงชาวจีนจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอให้มากเพียงพอ
ในหมู่อาหารสีเขียวนั้น ชาเขียวมีความสำคัญในอันดับต้นๆ สามารถช่วยชะลอความแก่ได้ และช่วยลดโอกาสเกิดเนื้องอก และอาการหลอดเลือดแข็งตัว นอกจากนี้ในกลุ่มพืชผักใบเขียวทั้งหมดที่มีสารอาหารเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
อาหารสีขาวดีที่สุดต้องยกให้ข้าวโอ๊ต ซึ่งมีราคาถูกมาก สามารถนำมาทำเป็นโจ๊กรับประทานตอนเช้า ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากจะช่วยลดคลอเลสเตอรอล และกลีเซอรีนได้แล้ว ยังช่วยลดน้ำตาลในเส้นเลือดและลดไขมันได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยทำให้ท้องไม่ผูก
อาหารสีดำนั้นมีหลากหลายชนิดเช่นกัน เช่น เห็ดหูหนู ช่วยลดน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี ลดความเสี่ยงเส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือโรคหัวใจ
ปัจจุบัน ผู้สูงอายุจำนวนมากมีอาการเซื่องซึมเพราะเส้นเลือดฝอยเล็กๆ เกิดการอุดตัน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆนานเข้า สมองจะค่อยๆ เสื่อม วิธีป้องกันคือ ให้รับประทานเห็ดหูหนูบ่อยๆ เช่น นำเห็ดหูหนูทำเป็นแกง หรือผัดกับผักชนิดต่างๆ (NUNE/cai)