งานสัปดาห์หนังสือที่ไทยเพิ่งสิ้นสุดไป ต่อมอยากรู้ว่าที่จีนเขาจะมีงานอะไรใหญ่ ๆ สำหรับหนอนหนังสือบ้างหรือเปล่าก็ทำงานเลยทันทีครับ ถ้าจะให้เกริ่นถึงภาพรวมของการอ่านหนังสือในคนจีน ทุกวันนี้เปลี่ยนไปจาก 5 ปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ประมาณว่ามองจากดาวอังคารมาโลกก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เพื่อนชาวจีนเคยถามผมขณะที่เรากำลังโดยสารรถไฟใต้ดินเข้าเมืองว่า "แกกวาดตามองไปรอบ ๆ สิ เห็นอะไรไหม" ผมตอบว่าเห็นผมสังคมก้มหน้า ทุกคนมีโลกทรงเหลี่ยมเป็นของตัวเอง มันก็เล่าต่อว่าที่ผมเห็นก็เป็นเช่นเดียวกับที่ปักกิ่งเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน คือเป็นสังคมก้มหน้า ทุกคนมีโลกทรงสี่เหลี่ยมเป็นของตัวเอง หากแต่ที่เปลี่ยนไปคือจาก "หนังสือ" กลายมาเป็น "มือถือ"
คนจีนมีนิสัยรักการอ่านมาก ๆ ครับ ผมไม่แน่ใจว่าถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่ต้องเป็นกันทุกคนแน่ ๆ ก็ตั้งแต่วัยเรียน ด้วยการแข่งขันสอบเข้าในระดับมัธยม เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนมหาวิทยาลัย จากความเคยชินจนกลายเป็นนิสัยในที่สุด แม้ทุกวันนี้ชาวจีนจะหยิบจับอะไรขึ้นมาอ่านได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ต้องเดินไปถึงหัวมุมถนนเพื่อซื้อนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ (ตรงนี้ทำให้หลัง ๆ มาทุกหัวมุมถนนแทบจะไม่หลงเหลือร้านหรือตู้กดหนังสือพิมพ์อีกต่อไป) ไม่ต้องไปถึงร้านหนังสือในห้าง หรือรอให้มีเทศกาลงานมหกรรมหนังสือ เขาก็ใช้นิ้วจิ้ม ๆ ซื้อได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญคือได้ราคาที่ถูกกว่าเดินทางไปร้านเสียอีก พูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ง่ายแสนง่าย และระบบคนส่งที่รวดเร็วปานจรวด
แล้วอย่างนี้ร้านหนังสือจะอยู่ได้ไหม? ยังจะต้องจัดอะไรเพื่อดึงเหล่าหนอน ๆ มาอีกหรือเปล่า? กลายเป็นเหตุผลที่ผมเดินทางไปร้านหนังสือปักกิ่ง หรือ กลายเป็นเหตุผลที่ผมเดินทางไปร้านหนังสือปักกิ่ง หรือ Beijing Books Building ในครั้งนี้
ร้านหนังสือปักกิ่งเท่าที่เคยไปเดินมามีอยู่ 2 แห่งด้วยกันครับ ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางปักกิ่ง บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินซีตัน สาย 1 สีแดง และสถานีรถไฟใต้ดินหวังฝูจิ่ง สาย 1 สีแดงเช่นกัน จริง ๆ แล้วจะเรียกร้านก็ดูจะไม่สมฐานะเท่าไหร่ เพราะชื่อก็บอกแล้วว่ามันเป็น "ตึก" วันที่ผมไปกำลังมีการจัดงานเทศกาลหนังสือ แถมเป็นวันสุดท้ายเสียด้วย แรกแย้มประตูเข้าไปก็มีอึ้งไปอยู่พักนึงเลยครับ เพราะหนังสือพี่แกเยอะมาก ตึกสูงประมาณ 5 ชั้น ผมกะว่า 2 ชั้นแรกก็คงขายอาหารเครื่องดื่ม ดิกชันนารีอิเล็กทรอนิกส์อะไรก็ว่ากันไป แต่นี่ทุกชั้นและทั้งตึกขายแต่หนังสือ แบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นก็เถอะครับ คนที่อ่านภาษาจีนไม่ออกจะคุ้มไหมหากจะแวะมาเที่ยว ผมกล้าพูดเลยว่าคุ้มจริง ๆ ครับ เพราะผมเองก็ยังไม่อาจหาญกล้าวิชาภาษาจีนถึงขั้นนั้นเช่นกัน ก็ได้อาศัยลากตัวเองขึ้นไปชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นหนังสือภาษาต่างประเทศ
ท่ามกลางคนที่ล้นหลามราวกับแจกฟรี มาถึงตรงนี้ใครเป็นนักอ่านวรรณกรรม นิยาย หนังสือภาษาอังกฤษประเภทอื่น ๆ ต้องตาลุกวาวเป็นแถว ๆ ถ้ามากับญาติคงบอกญาติไปเที่ยวกันก่อน มากับแฟนคงบอกแฟนให้กลับไปรอที่พัก เพราะชั้นนี้ชั้นเดียวอยู่ได้เป็นวัน ๆ ครับ หนังสือจากทั่วทุกมุมโลกวางเรียงรายดาษดื่นกันรอให้ไปหยิบพลิกหยิบอ่าน ที่สำคัญคือ "ราคา" ครับ สำหรับคนที่ไม่ได้ใส่ใจว่าต้องเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ออกจากต้นสังกัดเท่านั้น จีนมีขายในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่ามาก ซึ่งนี่เป็นข้อจำกัดที่บ้านเราทำได้ไม่บ่อย เนื่องจากดูจะไม่คุ้มกับการซื้อลิขสิทธิ์มาจัดพิมพ์เอง แต่ด้วยจีนที่มีจำนวนคนมหาศาลเป็นทุนเดิม ปัญหานี้จึงถูกตัดไป ซึ่งนั่นก็มาพร้อมกับการเปิดกว้างทางความคิดของคนในชาติให้ไม่ได้อยู่แต่ที่ชาติตัวเองนั่นเองด้วย
การมาครั้งนี้ตอบคำถามผมได้มากกว่าที่ถามตัวเองในตอนแรก มันทำให้เข้าใจในเชิง "รูปธรรม"มากขึ้นว่า อันที่จริงจีนไม่ได้ถูกปิดกั้นอย่างที่ใคร ๆ เขาพูด ที่นี่เปิดรับข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลก เขาเห็นเหมือนที่เราเห็น เขาให้ความสำคัญมากกว่าที่เรามองว่าเราให้ความสำคัญ การปลูกปัญญาด้วยการอ่าน แม้จะเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง แต่ยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ โลกของคุณก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ว่าแล้วก็หยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อมาในราคาที่ถูกกว่าที่ไทย 4 เท่ามาอ่าน ใครอิจฉาก็ตามมานะจ๊ะ ที่นี่เขาเปิด 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม แล้วพบกันสัปดาห์หน้า สวัสดีครับ