แต่ละคนมักจะมีเรื่องให้กังวลใจไม่เหมือนกัน แต่ผมเชื่อว่าเรื่องสุขภาพของคนที่เรารัก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องกังวลใจ ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาผมได้รับข่าวไม่ค่อยจะดีนักเกี่ยวกับสุขภาพของแม่ ถ้าจำไม่ผิดปลายปีก่อน วันที่ผมกำลังจะกลับไปรับท่านที่ไทยเพื่อพาไปเที่ยวต่างประเทศ ท่านโทรมาด้วยเสียงสะอื้นบอกว่าหมอไม่ให้ไป ๆ ใจของคนเป็นลูกแทบอยากจะเหาะไปหาที่โรงพยาบาลเวลานั้นเสียให้ได้ หมอบอกว่าแม่มีระดับไขมันในเส้นเลือดสูงเกินค่าปกติ ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน
กว่า 10 เดือนที่แม่โดนจัดยาชุดใหญ่ ทว่าผลข้างเคียงของยาทำให้แม่รู้สึกปวดกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยเป็นประจำ ท่านต้องนอนพักช่วงบ่าย ๆ อยู่เสมอ ยังไม่รวมกับอาการบวมที่เพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ความอยากอาหารลดลง เพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่ตอนนี้ก็กลายมาเป็นคุณหมอตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่กลายมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของผม ซึงนั่นก็พอจะทำให้ใจคลายกังวลลงไปบ้าง
กระทั่งเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสกลับบ้านครับ แน่นอนว่าด้วยความเป็นห่วงเรื่องนี้เป็นหลักก็หาซื้อสารพัดยาสมุนไพรจีนที่ใคร ๆ ต่างก็ว่าดี ช่วยเรื่องเลือด เรื่องลม อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งใส่ไคล้ว่าทำไมปักใจเชื่อคนง่ายนะครับ แม่ผมทั้งคน ผมก็สืบหมดว่าที่แนะ ๆ กันนี่ดีจริงหรือเปล่า มีหลักฐานวิทยาศาสตร์อะไรยืนยันรับรองไหม ผมเจอบทความหลายชิ้นทั้งที่เป็นภาษาไทยและจีนพูดถึงการตุ๋น "พุทรา เห็ดหูหนู และขิงแก่" ดื่มเป็นประจำทุกวัน ว่ามีสรรพคุณช่วยเรื่องไขมันในเส้นเลือด เมื่อพินิจดูแล้วว่าทั้ง 3 อย่างต่างก็เป็นของที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย (หากทานในปริมาณที่เหมาะสมนะครับ เพราะอย่างพุทราก็มีน้ำตาลไม่น้อย) ก็เลยซื้อพุทราจีนและเห็ดหูหนูจากแหล่งเพาะปลูกที่ขึ้นชื่อว่าคุณภาพดีที่สุดของประเทศกลับไป
หลังทดลองให้ดื่มมาสักพักควบคู่กับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน พบว่าอาการปวดท้ายทอยลดลงไปเยอะมากครับ แม่ไม่มีอาการมึนศรีษะเหมือนแต่ก่อน เอาจริง ๆ ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่นักว่าการดื่มน้ำตุ๋นนี้มีส่วนช่วยจริงหรือเปล่า เพราะท่านต้องรอนัดพบหมอครั้งต่อไปเดือนพฤศจิกายน แต่จากความร่าเริงที่เห็นผ่านสติ๊กเกอร์ที่ส่งมาทางแอพสนทนาก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก
ผมนำเรื่องนี้มาพูดให้เหล่าเพื่อนหมอก็ไม่มีใครจะยอมเชื่อกัน และที่ผมเขียนในวันนี้ก็ไม่ได้อยากจะให้คุณผู้อ่านเชื่อและมาตุ๋นตามนะครับ ผมเพียงอยากพูดในสิ่งที่เห็นผลและมันดีขึ้นกับคนที่ผมรัก ผมเข้าใจความรู้สึกของใคร ๆ ก็ตามที่คนรักต้องเจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่มีความสุขเลยจริง ๆ ยิ่งอยู่ไกลกันยิ่งไปใหญ่ อย่างไรก็ตามหากอยากจะลองทำดูก็ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลคนไข้ และลองศึกษาด้วยตัวเองให้ละเอียดนะครับ ส่วนแม่ผม หากคืบหน้าเห็นผลที่เป็นรูปธรรมอย่างไรจะนำมาอัพเดทให้ได้อ่านกันเร็ว ๆ นี้ สวัสดีครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ Slow Life Insider
