ภายหลังผู้นำฟิลิปปินส์เสร็จสิ้นการเยือนจีนเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา กระแสลมการเมืองฟิลิปปินส์เริ่มเปลี่ยนทิศทางอีกระรอก เมื่อนายโรดรีโก ดูเตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เลือกขึ้นหิ้งปัญหาทะเลจีนใต้ แลกกับเอกสารข้อตกลงทวิภาคี 13 ฉบับ มูลค่า 13.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด ระหว่างเยือนจีน นายดูเตร์เตได้เข้าพบนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิงเสนอให้รัฐบาลดูเตร์เตเพิ่มความเชื่อถือกันทางการเมือง เชื่อมโยงยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ส่งเสริมการไปมาหาสู่ภาคเอกชน และกระชับความร่วมมือในกิจการที่เกี่ยวข้องของสองประเทศ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายร่วมลงนามในเอกสารฯ ผลการเยือนก็ส่งผลเป็นรูปธรรมเมื่อจีนอนุญาตให้ฟิลิปปินส์นำกล้วยหอมล็อตแรกจำนวน 40 ตันลำเลียงผ่านเรือขนส่งว่านไห่ขึ้นที่ท่าเรือเมืองเซี่ยเหมิน และสั่งถอนกองเรือออกจากหมู่เกาะปะการังพิพาท ทำให้ชาวประมงฟิลิปปินส์สามารถทำประมงในหมู่เกาะปะการังสการ์โบโรห์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ขณะที่การเยือนญี่ปุ่น ประเด็นหารือที่สำคัญที่สุดระหว่างการพบกันของผู้นำญี่ปุ่น-ฟิลิปินส์ ครั้งนี้ หนีไม่พ้นการสร้างหลักประกันต่อเสรีภาพการเดินเรือของญี่ปุ่นในน่านน้ำทะเลจีนใต้ เพราะนั่นหมายถึงเส้นทางขนส่งพลังงานสายหลักที่เชื่อมญี่ปุ่นเข้ากับตะวันออกกลางและยุโรป และการแผ่อิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้ ทว่านายดูเตร์เตกลับกล่าวกับนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นว่าตนจะหารือกับจีนในบางประเด็นโดยอิงกฎหมาย ส่วนประเด็นละเอียดอ่อนที่ถูกหยิบยกมานำเสนอกันนั้น ตนไม่ได้พูดต่อสาธารณะ จุดยืนที่ดูจะขัดแย้งกับคำพูดที่จีนก่อนหน้านี้ทำเอาสื่อแดนอาทิตย์อุทัยตั้งคำถามถึงความจริงใจของผู้นำฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นการเยือน สองฝ่ายได้ทำข้อตกลงทวิภาคีหลายฉบับ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาการเกษตรที่เกาะมินดาเนา ฐานเสียงสำคัญของนายดูเตร์เต และการเพิ่มความสามารถด้านการรักษาความมั่นคงทางทะเล ซึ่งประกอบด้วยการจัดหาเรือสำหรับหน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์จำนวน 2 ลำ และการส่งมอบเครื่องบินฝึกหัดรุ่น T-90
ขอบคุณภาพประกอบบทความจาก Getty Images