กระแส "ลงทะเล"พร้อมกับการดำเนินนโยบายปฏิรูปของจีน ทำให้มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มรวยขึ้น โดยเฉพาะชาวกวางตุ้งที่มีความได้เปรียบทางภูมิประเทศนั้น มีการค้าขายกับต่างประเทศ ทำธุรกิจรวดเร็วกว่าใครๆ ไม่กี่ปี เริ่มมีศัพท์ใหม่ที่เรียกว่า "ว่านหยวนหู้" แปลว่าผู้ที่มีเงินมากกว่าหมื่นหยวน ถือว่าเป็นมหาเศรษฐี ชะตากรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกันและบางทีมีความไม่แน่ใจ สมัยนั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มดำเนินนโยบายวางแผนครอบครัวให้มีลูกคนเดียวใหม่ๆ มีคนจำนวนไม่น้อยยังไม่ค่อยยอมรับนโยบายนี้ อยากมีลูกคนที่สองคนที่สามได้ แต่การออกนโยบายนั้นก็เป็นกฎหมายของชาติ ต้องมีการปฏิบัติตาม จึงมีข้อกำหนดเข้มงวดและมีการลงโทษคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามค่อนข้างหนัก หากมีใครแอบมีลูกคนที่สอง สามีภรรยาคู่นี้อาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแม้กระทั่งทั้งคู่ถูกไล่ออกจากงาน ซึ่งเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง คนที่ไม่มีงานทำก็ต้องหาทางใหม่ จึงต้องไปทำธุรกิจเอง แต่กลับเป็นโอกาสในการก่อร่างสร้างตัว
เมื่อสังคมพัฒนาไปอีก 10 ปี จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1990 ทั่วประเทศจีนมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ประชาชนที่อยู่ริมทะเลมีชีวิตดีกว่า เขตแดนชั้นในที่พัฒนาช้ากว่า ของหมั้นก็มีการพัฒนาเช่นกัน ของหมั้นมีเกียรติ 4 อย่างเริ่มเปลี่ยนเป็นทีวีสี เครื่องซักผ้า ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ และเมื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ของหมั้นก็พัฒนาอีกมาเป็นมือถือ คอมพิวเตอร์ รถยนต์และบ้าน
ซึ่งถึงทุกวันนี้ ของหมั้นยังคงมีความสำคัญมากสำหรับหนุ่มสาวที่จะแต่งงานกัน ชาวจีนมีความเคยชินตามประเพณีและวัฒนธรรมจีนมานาน การอยู่และการใช้ชีวิตนั้น ให้ความสำคัญกับบ้านเป็นพิเศษ ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ล้วนอยากมีบ้านของตน โดยไม่มีใครยอมเช่าบ้านอยู่ เนื่องจากมีความคิดว่าอยู่ไม่มั่นคงและอาจถูกไล่ออกจนไม่มีที่อยู่อาศัย แม้ว่าปัจจุบันราคาบ้านในจีนแพงมาก แต่ก็มีคนพากันไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อบ้านโดยไม่คิดว่าการผ่อนบ้านนั้นเป็นภาระหนักอีกหลายสิบปีในอนาคตและอาจทำให้คุณภาพชีวิตต่ำลง
อย่างไรก็ตาม สังคมพัฒนาไปข้างหน้า คนรุ่นใหม่ก็เติบโตขึ้น เมื่อมีโอกาสไปเปิดหูเปิดตา สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวตะวันตกแล้ว คนรุ่นใหม่เริ่มมีวิสัยทัศน์แตกต่างกัน บัดนี้ คงไม่มีใครๆ ขอของหมั้น 4 อย่างจากฝ่ายชายแล้ว แต่คำว่า "สื้อต้าเจี้ยน"ในภาษาจีนที่แปลว่าของหมั้น 4 อย่างนั้น กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำยุคสมัยและเป็นคำเฉพาะในพจานุกรม
In/Ping