กับประธานเหมาเจ๋อตง ในปี 1964 ก่อนปฏิวัติวัฒนธรรม
เป็นกรรมการของสหพันธ์ศิลปะและวรรณกรรมจีน และเป็นผู้ช่วยกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีนด้วย
กัว โม่โรว นั้นมีความรอบรู้ทั้งในศาสตร์ยุคเก่าของจีนและสาขาวิชาที่ทันสมัยอื่นๆ ด้วย เขาสามารถพูดภาษาญี่ปุ่น เยอรมัน และอังกฤษได้อย่างดี
มีนักปรัชญาเปรียบเทียบ กัว โม่โรว กับ เกอเธ่ นักเขียนชื่อก้องโลกชาวเยอรมนี ว่าทั้งคู่เป็นยักษ์ใหญ่ทางวัฒนธรรมและเป็นความภาคภูมิใจของชาติตนเอง
และนายกโจว เอินไหล เปรียบเทียบเขากับ หลู่ซวิ่น ว่า "ถ้าหลู่ซวิ่นคือผู้ริเริ่มบุกเบิกหนทางที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนให้เจิดจรัส กัว โม่โรว ก็เปรียบเสมือผู้บอกทางให้เดินต่อนั่นเอง"
และก็เฉกเช่นบุคคลอื่นๆ ที่เคยมีคุณูปการมาก่อนในช่วงก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมา พอถึงปี 1966 กัว โม่โรว ก็เป็นคนแรกๆ ที่ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มหงเว่ยปิงหรือเรดการ์ด อันเป็นผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตง แม้ว่าเขาจะสารภาพว่าไม่เข้าใจวิธีคิดของเหมาเลย และกระทั่งยอมให้เอาหนังสือทั้งหมดของเขาไปเผาทิ้ง เขาก็ไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ เพราะลูกชายของเขา 2 คนได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้
กัว โม่โรว ถึงแก่กรรมด้วยสิริอายุ 86 ปี ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี 1978 ผลงานของเขาจำนวนมากมายได้เบ่งบานอยู่ในสวนอักษร ให้คนรุ่นใหม่ได้มาติดตามศึกษา ไม่ว่าโบตั๋นหรือเบญจมาศก็หย่อมต้องโรยราในสักวัน แต่คุณงามความดี และผลงานย่อมคงอยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด
พบกับผม พัลลภ สามสี และรายการหน้าต่างเมืองจีนได้อีกครั้งสัปดาห์หน้า
สวัสดีครับ