แต่เฉินหลงกลับมาประสบความสำเร็จอย่างสูงอีกครั้ง ในหนังตำรวจร่วมสมัยอย่าง Police Story(วิ่งสู้ฟัด) (1985) โดยเรื่องนี้ทำให้เฉินหลงได้รับรางวัลม้าทองคำ (ตุ๊กตาทองฮ่องกง) ถึง 2 รางวัล คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ออกแบบฉากต่อสู้ยอดเยี่ยม จากนั้นเฉินหลงก็แสดงหนังในฮ่องกงหลายเรื่องตลอดมาเรื่อยๆ เช่น Armour of God(ใหญ่สั่งมาเกิด) (1987) Police Story 2(วิ่งสู้ฟัด2) (1988) Miracles(ฉีจี้) (1989)
จนโชคเพิ่งมาเข้าข้างเฉินหลงในช่วงยุค'90 หนังหลายเรื่องของเฉินหลงเป็นที่ยอมรับในทั่วเอเชียเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Armour of God II: Operation Condor(ใหญ่สั่งมาเกิด 2 : อินทรีทะเลทราย) (1991) Police Story 3: Supercop(วิ่งสู้ฟัด3) (1992) City Hunter(ใหญ่ไม่ใหญ่ ข้าก็ใหญ่) (1993) Crime Story(วิ่งสู้ฟัด ภาคพิเศษ) (1993) และตำนานไอ้หนุ่มหมัดเมาอย่าง Drunken Master II(ไอ้หนุ่มหมัดเมา2) (1994) ซึ่งเรื่องนี้เฉินหลงได้ร่วมงานกับ หลิวเจียงเหลียง อีกทั้งยังทำรายได้ไปถึง 40 ล้านเหรียญฮ่องกง จากนั้นเฉินหลงก็มีหนังท็อปฟอร์มหลายเรื่องในเวลาต่อมา เช่น Thunderbolt (1995)(เร็วฟ้าผ่า) Police Story 4: First Strike(ใหญ่ฟัดโลก2) (1996) Mr. Nice Guy(ใหญ่ทับใหญ่) (1997) และ Who Am I?(ใหญ่เต็มฟัด) (1998)
ยังพยายามทำหนังใหม่ และมีโรงภาพยนตร์ของตนในทั่วเอเชีย
ฮอลลีวูด
Rush Hour (1998)
เฉินหลงก็มีโอกาสไปแสดงหนังฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในหนังพีเรียด - กังฟู เรื่อง The Big Brawl(ไอ้มังกรถล่มปฐพี) (1980) (ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Battle Creek Brawl) ผลลัพธ์ที่ได้คือ ไม่ประสบความสำเร็จเลย จากนั้นเขาก็แสดงเป็นตัวประกอบในหนังแนว Road Movie อย่าง Cannonball Run(เหาะแล้วซิ่ง) (1981) และ Cannonball Run 2 (1982) เรียกได้ว่าการไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดของเขานั้น ล้มเหลวไม่เป็นท่า และเรื่องที่ 4 อย่าง The Protector(กูกู๋ปืนเค็ม) (1985) ซึ่งก็ล้มเหลวอีกครั้ง
และการไปเปิดตลาดอเมริกาครั้งที่สอง ของเฉินหลงก็เป็นผล เมื่อ Rumble in the Bronx(ใหญ่ฟัดโลก) (1995) สามารถเปิดตัวขึ้นอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิสของอเมริกาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 สามารถทำรายได้ตลอดการฉายถึง 32.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
และการแสดงหนังฮอลลีวู้ดของเฉินหลงในรอบหลายปีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเฉินหลงนำแสดงใน Rush Hour(คู่ใหญ่ ฟัดเต็มสปีด) (1998) ที่นำแสดงคู่กับ คริส ทักเกอร์ หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิสถึง 141.1 ล้านเหรียญ และ 244.3 จากทั่วโลก จากนั้นเฉินหลงก็มีโอกาสเล่นหนังทั้งในฮ่องกงและอเมริกาสลับกันหลายๆครั้ง เช่น Gorgeous(เบ่งหัวใจฟัดให้ใหญ่) (1999) Shanghai Noon(คู่ใหญ่ฟัดข้ามโลก) (2000) The Accidental Spy(วิ่งระเบิดฟัด) (2001) และเฉินหลงก็กลับมาเล่นหนังภาคต่ออย่าง Rush Hour 2(คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด 2) (2001) The Tuxedo(สวมรอยพยัคฆ์พิทักษ์โลก) (2002) และ Shanghai Knights(คู่ใหญ่ฟัดทลายโลก) (2003) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเหมือนเคย
แต่ผลงานอย่าง Around The World in 80 Days(80วัน จารกรรมฟัดข้ามโลก) (2004) ที่เฉินหลงร่วมแสดงกับ สตีฟ คูแกน และ ซีซิล เดอ ฟรานซ์ ประสบความล้มเหลวในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก โดยทำเงินทั่วโลกไปเพียงแค่ 72.1 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 110 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากนั้นอีก 3 ปี เฉินหลงก็กลับมาร่วมงานกับ แบร็ท แร็ตเนอร์ และ คริส ทักเกอร์ อีกครั้ง ใน Rush Hour 3 (คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด 3) (2007) โดยทิ้งห่างจากภาคที่แล้วถึง 6 ปี และก็ยังทำเงินในอเมริกาถึง 140.1 และ 255.0 จากทั่วโลก
ปี 2008 เฉินหลงนำแสดงร่วมกับ เจท ลี ในภาพยนตร์กำลังภายใน - แฟนตาซี เรื่อง The Forbidden Kingdom (หนึ่งฟัดหนึ่ง ใหญ่ต่อใหญ่) (2008) โดยเป็นการร่วมกันครั้งแรกของทั้งคู่ และในปีเดียวกันเฉินหลงยังให้เสียงตัวการ์ตูน "Master Monkey" ในเรื่อง Kung Fu Panda (2008) ของ ดรีมเวิร์กส์ แอนนิเมชั่น โดยมีผู้ร่วมให้เสียง เช่น แจ็ค แบล็ค, ดัสติน ฮอฟแมน, แองเจลิน่า โจลี่ และ ลูซี่ ลิว
เฉินหลงนำแสดงในหนังแอ็คชั่น - คอมเมดี้ เรื่อง The Spy Next Door (วิ่งขโยงฟัด)(2010) โดยรับบทเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ต้องมาต่อสู้กับเหล่าสายลับมากฝีมือ หลังจากที่เหล่าเด็กๆดูแลดันเกิดโหลดข้อมูลลับขององค์กรแห่งหนึ่ง โดยมีกำหนดฉายต้นปี 2010 และ Kung Fu Kid งานรีเมคจากอดีตหนังดังอย่าง The Karate Kid (1984) แสดงร่วมกับ จาเดน สมิธ ลูกชายของนักแสดงชื่อดัง วิล สมิธ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเปิดตัวขึ้นอันดับหนึ่งในบ๊อกซ์ออฟฟิศ และทำไปกว่า 170 ล้านเหรียญในสหรัฐ และกำลังออกฉายตามทั่วโลก
JCE Movies Limited
หลังจากร่วมงานกับทาง Golden Harvest มานานร่วม 20 กว่าปี ในปี 2003 เฉินหลงจึงตัดสินใจเดินออกจาก Golden Harvest และมาเปิดบริษัทของตัวเองในนาม JCE Movies Limited (Jackie Chan Emperor Movies Limited) โดยอยู่ในเครือของบริษัท Emperor Multimedia Group (EMG) บริษัทสื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ในฮ่องกง
ซึ่งตัวของเฉินหลงเองเป็นทั้งผู้สร้างและนำแสดงในหนังของตนเอง หนังของเขาเรื่องแรกในนามบริษัทนี้ คือ The Medallion(ฟัดอมตะ) (2003) และหลังจากนั้นก็มีผลงานทำเงินต่อเนื่องอย่าง New Police Story(วิ่งสู้ฟัด 5 เหิรสู้ฟัด) (2004) , The Myth(ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา) (2005) และ Rob-B-Hood(วิ่งกระเตงฟัด) (2006)
ปี 2009 เฉินหลงนำแสดงภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่อง The Shinjuku Incident (ใหญ่แค้นเดือด) (2009) ผลงานของ เอ๋อตงเซิน โดยเรื่องนี้เป็นผลงานดราม่าเต็มรูปแบบครั้งแรกของเฉินหลง
ช่วงหลังๆมานี้เฉินหลงมีผลงานการแสดงกับต่างชาติน้อยลง เขาเริ่มที่จะกลับมาทำหนังในฮ่องกงอีกครั้ง ซึ่งหนังเรื่องที่ 100 ของเขาคือ 1911(ใหญ่ผ่าใหญ่)
ล่าสุดเฉินหลงกำลังถ่ายทำและกำกับ Chinese Zodiac หรือภาคต่อของหนังสุดมันส์อย่าง
Armour Of God มีชื่อไทยเรียกว่า "ใหญ่สั่งมาเกิด 3"