ด้วยยุคสมัยที่แปรเปลี่ยน ผู้หญิงจีนในปัจจุบันได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม สามารถจบมามีงานทำ มีเงินใช้ เรียกว่ามีความรู้ความสามารถไม่แพ้ผู้ชาย ดังนั้น หนุ่มสาวจีนรุ่นใหม่ที่เกิดในช่วงทศวรรษที่ 80 มีไม่น้อยคู่ที่เลือกจะคบกันแบบ "หารสอง" คือ เธอฉันไม่มีใครเอาเปรียบใคร กินเที่ยวทุกอย่างแชร์หารกันคนละครึ่ง เหมือนกับคู่ของหนุ่มจ้าว และสาวเฉิน ที่ทั้งสองคนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีหน้าที่การงานที่มั่นคง และได้รู้จักกันเมื่อ 5 ปีก่อน จนความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นและตัดสินใจก้าวสู่ประตูวิวาห์ และมีพยานรักเป็นลูกแฝดชายหญิง ชวนให้เป็นที่น่าอิจฉาของคนภายนอกอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนวงในอย่างสาวเฉินแล้ว เธอกลับกลุ้มจิตปวดใจกับสภาพชีวิตคู่ของครอบครัวเธอเองอย่างยิ่ง เพราะสามีกลับยังยึดติดกฎกติกาแบบ "รักหารสอง" อย่างเหนียวแน่นไม่ยอมเปลี่ยน จนเธอสุดจะทนและตัดสินใจฟ้องหย่าสามี
ซีรี่ส์จีนแผ่นดินใหญ่ เรื่อง "ชีวิตรักตำหรับAA" สะท้อนชีวิตหนุ่มสาวจีนรุ่นใหม่ 2 คู่
ที่เลือกแนวทางการครองชีวิตคู่หลังแต่งงานกันแล้วแบบ "AA" คือ กระเป๋าเงินใครกระเป๋าเงินมัน
ค่าใช้จ่ายต่างๆ หารออกกันคนละครึ่ง ออกฉายทางโทรทัศน์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สาวเฉินได้ยื่นเรื่องฟ้องหย่ากับศาลเขตจิ้นอัน เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งเธอเล่าความว่า ก่อนแต่งงานเธอกับสามีต่างมีหน้าที่การงานดี มีรายได้เป็นของตนเอง จึงคบกันแบบแชร์ค่าใช้จ่าย "หารสอง" มาโดยตลอด และเมื่อตกลงจะแต่งงานกัน ฝ่ายสามีก็ยังยืนกรานที่ว่าจะขออยู่กันแบบหารค่าใช้จ่ายทุกอย่างคนละครึ่งนี้ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใดเพราะตอนนั้นคิดไม่ถึงว่าการมีอิสระใช้จ่ายเงินในส่วนของตนและไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบจะเป็นเรื่องเลวร้ายน่าเจ็บช้ำน้ำใจที่ตรงไหน ซึ่งก็อาจจะจริงหากไม่เพราะความเถรตรงไม่ผ่อนปรนของสามี ที่แม้กระทั่งว่าออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันแล้ว ใครออกค่าใช้จ่ายไปก่อนพอกลับถึงบ้านเป็นต้องจัดการเคลียร์เงินจ่ายคืนกันให้เรียบร้อยทุกครั้ง หรือหากทำอาหารทานที่บ้านเมื่ออีกฝ่ายทำอีกฝ่ายต้องรับหน้าที่เก็บล้างเพื่อความยุติธรรม รวมถึงงานบ้านทุกอย่างต้องแบ่งกันรับผิดชอบคนละครึ่งๆ เสมอภาคเท่าเทียมกันหมด และแน่นอนไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการดูแลลูกแฝด ที่ฝ่ายชายว่าแบ่งกันรับผิดชอบและแบกรับภาระค่าเลี้ยงดูบุตรกันคนละคน เรียกว่าเงินทองใช้ไม่ปะปน หน้าที่ต่างๆ ก็แบ่งกันแบบไม่ให้ขาดไม่ให้เกินตึงเปรี๊ยะอย่างนี้ สภาพจิตของเธอนับวันจึงมีแต่จะแย่ลง ซึ่งฝ่ายสามีก็กล่าวตอบในศาลว่า เพราะภรรยามีหน้าที่การงานและรายได้มั่นคงไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเลย ทำไมจึงต้องผลักภาระรับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัวมาให้ตนเป็นผู้แบกรับแต่เพียงคนเดียวกัน? ซึ่งทางศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัญหาคู่ชีวิตของทั้งสองคนนั้นเกิดมาจากความตึงเกินไปของสามีนั่นเอง และดูแล้วยังคงมีเยื่อใยต่อกันไม่ถึงขั้นแตกหักที่จะประสานรอยร้าวไม่ได้ จึงแนะนำให้สองคนสามีภรรยาหันหน้าเข้าหากัน ตกลงกันใหม่ ลดการยึดติดในระบบ "หารสอง" เพิ่มความคิดเพื่อเราสองให้มากขึ้น
ซึ่งการใช้ชีวิตคู่แบบ "หารสอง" ของคนทั้งสองนี้ หลายคนเห็นด้วยและคิดว่าเป็นระบบที่ดี เพราะหนุ่มสาวสมัยนี้มีไม่น้อยที่คบกันแบบไม่บริสุทธิ์ใจ แต่งเพราะหวังทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่เพราะความรักในอีกฝ่ายด้วยใจจริง ดังนั้นหากแต่งงานไปแล้วไม่ก้าวก่ายในเรื่องเงินทองของกันและกันย่อมเป็นเรื่องดี แสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันของเพศชายและหญิงได้เป็นอย่างดี
แต่ก็มีอีกไม่น้อยเช่นกันที่เห็นว่า ระบบนี้เป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตคู่ชัดๆ เพราะในเมื่อเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ก็ควรแสดงความรับผิดชอบต่ออีกฝ่ายด้วยถึงจะถูก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกนั่นของเธอนี่ของฉันให้ชัดเจนเกินไปนัก หากสามีภรรยาเลือกดำเนินชีวิตคู่แบบนี้ ก็เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้ากัน แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่ใช่เสียด้วยซ้ำ และถือไม่ได้ว่าการกระทำแบบนี้เป็นการให้ความเคารพต่ออีกฝ่าย และยิ่งเรียกไม่ได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเท่าเทียมกัน เพราะในเมื่อได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็ไม่ควรใส่ใจว่าใครจะทำมากทำน้อยกว่ากัน และจะว่าไปความเท่าเทียมกันในชีวิตคู่ที่แท้จริง คือ การเคารพในกันและกันด้วยใจจริงต่างหาก ไม่ใช่อาศัยระบบเป็นตัวกำหนดบอก
ส่วนทางผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ก็ว่า อันที่จริงแล้วระบบ "หารสอง" นี้ เหมาะที่จะใช้หรือไม่อยู่ที่เป้าหมายของผู้ใช้เป็นสำคัญ เพราะวัฒนธรรม"ครอบครัว" เป็นองค์ประกอบสำคัญแห่งวัฒนธรรมชาวตะวันออก ความสัมพันธ์ทางครองครัวสำคัญอยู่ที่ความรักความผูกพันที่มีให้ต่อกัน ดังนั้น หากใช้ระบบ "หารสอง" นี้เพื่อคำนึงถึงแต่การรักษาผลประโยชน์ของตน ย่อมจะทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้ชีวิตคู่มีระบบแต่ไร้รัก ย่อมเป็นการทำลายครอบครัว แต่หากใช้เพื่อบริหารการเงินของครอบครัวให้สมเหตุสมผล มากขึ้น ก็จะช่วยให้การใช้ชีวิตครอบครัวยิ่งดียิ่งมีความสุขมากขึ้นได้ ระบบหารสองก็ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าลอง